PART 1
ตา(ม)ดู เพราะหูฟัง
หลังจากไปฟังทอล์ค Around and Around ของ Jiro ศิลปินจิเวลรี่ชาวญี่ปุ่นผู้คลั่งไคล้กระจก และแสงสี (ปัจจุบันเขาใช้ชีวิต และตั้งสตูดิโอทำงานอยู่ที่มิวนิค ประเทศเยอรมนี) เมื่อหลายวันก่อน ความเพี้ยนในการท้าทายรูปแบบของจิเวลรี่เดิมๆ ความคลั่งในการเล่นกับวัสดุ ความลึกของไอเดียที่ซ่อนอยู่ในชิ้นงานที่มีฟอร์มเรียบง่าย บวกกับคำชวนที่บอกให้เราไป have a relationship with my jewelry ก็แทบอยากจะลุกออกจากเก้าอี้ห้องประชุมไปดูไปเล่นกับงานจริงของเขาที่ ATTA Gallery เจริญกรุงเดี๋ยวนั้น
เพี้ยนแรกพบ
เราไม่เคยดูงานของจิโร่มาก่อน และไม่เคยรู้มาก่อนว่าจิโร่เป็นใคร ทอล์ควันนั้นคือครั้งแรกที่เราได้ทำความรู้จักเขา ซึ่งความประทับใจแรกที่เรามีกับจิโร่ ไม่ใช่ความดีพ หรือความคอนเซปต์จัดของงาน แต่เป็นความเพี้ยนของ Tesa Ring แหวนคู่สีสวยจี๊ด ที่เกิดจากรอยจูบบนสก็อตเทปพันทบจนให้เม็ดสีแน่นๆ อย่างที่เห็น เอาจริงๆ แค่ไอเดียรอยจูบ กับภาพริมฝีปากสุดเซ็กซี่ก็เลิฟแล้ว แต่ความเซ็กซี่ชวนฝันก็จบลง เมื่อจิโร่เฉลยให้ทุกคนดูว่าเจ้าของรอยจูบ และริมฝีปากสุดเย้ายวนในโปรเจ็คต์นี้คือเค้าเอง
(แนะนำให้ดูวิดีโอเพื่อประกอบความพีค https://vimeo.com/78272126)
PART 2
My Favorite : จิเวลรี่จากเลนส์กล้อง!
. . .จิโร่เริ่มต้นการทำงานจิเวลรี่จากความคลั่งไคล้ในวัสดุ อย่าง เลนส์กล้อง
. . .เท่าที่จับใจความได้ บวกกับคำบอกเล่าของพี่ลี่ คนดูแลแกลลอรี่ คือ จิโร่สนใจชั่วขณะของคนที่ถูกบันทึกด้วยกล้อง และเขาสงสัยว่า ถ้าภาพถ่ายที่เราเห็นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเรามองผ่านหลังเลนส์กล้อง
. . .แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราจะลองมองดูภาพมองดูโมเมนต์ที่เกิดขึ้นจากตัวเลนส์โดยตรง
. . .ความอยากรู้อยากลองทำงานกับเลนส์กล้องที่มีมากเป็นทุน เป็นแรงผลักให้จิโร่ทะยอยรื้อกระบอกเลนส์กล้องหลากรุ่นหลายขนาดเพื่อทำ Momentopia คอลเล็กชั่นจิวเวอร์รี่จากเลนส์กล้องซึ่งฉีกรูปแบบภาพจำเดิมๆ เกี่ยวกับจิวเวอร์รี่ออกไป
. . .เราชอบไอเดียในงานชิ้นนี้ของจิโร่ พอๆ กับที่เราชอบการที่ดึงเอาบรรยากาศ โมเมนต์รอบตัวมาใส่ไว้ในจิวเวอร์รี่ ผ่านการสะท้อนของตัวเลนส์ที่สวมใส่ ให้ภาพที่เฉพาะตัว
. . .รูปนี้เป็นงาน Momentopia กับ Spiegel (คอลเล็กชั่นที่จิโร่ต่อยอดจาก Momentopia มีการทดลองเพ้นต์ และมีการนำเอาลวดลายของประตูหน้าต่างจากการเดินทางใน Mexico มาเล่น) ที่ทางแกลเลอรี่เก็บไว้ในลิ้นชัก จัดแสดงแยกออกจากนิทรรศการ FLARE
PART 3
ทำกัน 2 ต่อ 2 ยังไงก็ไม่จบ
. . .จากงาน Momentopia จิโร่อาจบอกกับเราว่าเขาหมกมุ่นกับเลนส์กล้อง แต่พอดูงานต่อๆ มา เรากลับคิดว่า เขาหมกมุ่นกับกระจก และ วงกลมมากกว่า
. . .หลังทดลองงานกับเลนส์กล้องจนสาแก่ใจ จิโร่ก็หันไปคลั่งไคล้กระจกที่เรียกว่า dichroic mirrors หรือ Dichroic filter ตัวกระจกที่มีสีแตกต่างกัน 2 ด้าน และเมื่อโดนแสงตกกระทบ กลับให้ผลลัพธ์เป็นแสงสีที่มากกว่า 2 เฉดสี และกระจายแสงเงามากมายกว่าที่คิด และแน่นอนว่าเขาดีไซน์ให้ตัวงานมีลักษณะเป็นวงกลมเช่นเคย ในชื่อคอลเล็กชั่น BI ที่มีความหมายว่า 2
. . .จากความลวงตาของแสงสีอันหลากหลายที่เกิดขึ้น บวกกับโจทย์คอลเล็กชั่นที่ตามมาที่หลังว่า BI หรือ 2 จิโร่จึงดีไซน์จิเวลรี่ที่ลวงตาคนใส่ขึ้นไปอีกขั้น!
. . .เขานำแผ่นใสมาทำแพตเทิร์นลายจุดแบบแรนดอมโดยตัดออกเป็นแผ่นกลมๆ 2 แผ่น และใส่เข้าไปในตัวเข็มกลัดที่ทำจากเงิน ก่อนครอบหัวท้ายชิ้นงานด้วยกระจก ผลลัพท์ที่ได้จึงเกิดเป็นมิติลวงตา ยิ่งดูยิ่งลึก หาต้นตอ และจุดจบไม่เจอ ทั้งๆ ที่ก็เกิดจากการใช้แผ่นสติ๊กเกอร์เพียง 2 แผ่น และใช้กระจกเพียง 2 ชิ้นตามชื่อคอลเล็กชั่นเท่านั้น
. . .นอกจากความลึกของคอนเซ็ปต์ที่คิดย้อนคิดซ้อนไปมาของจิโร่จะทำให้เรากรี๊ดสลบ การสะท้อนของแสงสีของบอดี้ของผู้สวมใส่ก็ชวนเราเลิฟแบบไม่รู้จบ กับความไม่มีจุดจบของชิ้นงาน
. . .การตกกระทบของแสงสีบนบอดี้ของคนใส่ ชวนให้เรารู้สึกว่าคนสวมใส่ กับงานของจิโร่กำลังผลัดกัน have a relationship ไปมาไม่จบไม่สิ้น คนใส่เปลี่ยน บอดี้เปลี่ยน เชฟแสงสีที่ตกกระทบก็เปลี่ยน ช่วงเวลาเปลี่ยน แสงเปลี่ยน เฉดสีก็เปลี่ยน ไม่มีใครคาดเดาปลายทางได้เลย
. . .และคงไม่แปลก ถ้าใครจะรู้สึกอินตอนที่เขาบอกให้ทุกคนไป have a relationship with my pieces
. . .สำหรับเรา ไอ้ความลวงตา กับความยากคาดเดานี่แหละ ที่เป็นความสนุกของชิ้นงานนี้
ภาพประกอบ : Bi Earrings dichroic mirrors แผ่นกลมกับทองคำ 18 K จัดแสดงอยู่ในส่วนนิทรรศการ
เรื่อง – ภาพ : polarpoid