Red Diamond Specialty Lab คาเฟ่สีสนิมดิบเท่ที่รีโนเวตจากอู่รถเก่า เป็นเหมือนอาณาจักรกาแฟแบบครบวงจร บอกเล่าตั้งแต่กระบวนการเริ่มต้นจนกลายมาเป็นหยดกาแฟหอมกรุ่น ผ่านวัสดุเปลือยผิวอย่างเหล็ก อิฐและไม้หมอนรถไฟ
หลังจากได้รับผลตอบรับอย่างล้นหลามจากสาขาลาดพร้าว 71 มาวันนี้ทางร้านตัดสินใจขยายสาขาเพิ่มเติมมายังซอยโยธินพัฒนา 3 ที่ครบวงจรและมากด้วยความหมายยิ่งกว่าเคย กับ Red Diamond Specialty Lab ร้านกาแฟที่เป็นมากกว่าร้านกาแฟทั่วไป เพื่อพาทุกคนจมดิ่งไปกับเรื่องราวของกาแฟ ตั้งแต่กระบวนการแรกจนออกมาเป็นกาแฟรสเยี่ยมที่อยู่ในแก้วตรงหน้า
บนพื้นที่กว่า 1 ไร่ จากเดิมที่เคยเป็นอู่รถเก่ามานานกว่า 8 ปี มาวันนี้ได้รับการเปลี่ยนโฉมให้กลายเป็นอาณาจักรแห่งใหม่ของคนรักกาแฟ โดยใช้เวลาถึง 9 เดือนในการออกแบบและตกแต่ง ประกอบด้วย 4 โซนสำคัญ ได้แก่ โรงคั่วกาแฟ พื้นที่ผลิตสินค้ากาแฟ ห้องแห่งการเรียนรู้ของบาริสต้าเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสอบ Black glove test การันตีคุณภาพก่อนรับหน้าที่ชงกาแฟให้ลูกค้า และส่วนร้านกาแฟที่ลดทอนเส้นสายจากเพชรมาเป็นอาคารดีไซน์เท่ ๆ พร้อมกับสวนสวยรอบร้านที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ช่วยสร้างร่มเงาและความร่มรื่น มีต้นกาแฟจากเชียงใหม่และเชียงรายเป็นพระเอกกว่า 300 ต้น โดยในฤดูกาแฟออกดอกจะพร้อมใจกันส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ ทั้งนี้ก็เพื่อสื่อถึงต้นกำเนิดของกาแฟจากธรรมชาติที่ผ่านกระบวนการคัดสรรสายพันธุ์ การคั่วอย่างพิถีพิถัน ไปจนถึงการชงกาแฟจากบาริสต้ามากฝีมือ
นอกจากเรื่องของกาแฟแล้ว เรด ไดมอนด์ทุกสาขายังมีสไตล์การออกแบบและตกแต่งได้อย่างมีเอกลักษณ์ไม่แพ้กาแฟ โดยเฉพาะสาขานี้ ที่ผู้ออกแบบได้ออกแบบงานสถาปัตยกรรมของร้านด้วยการลดทอนเหลี่ยมของเพชรให้เกิดไดนามิกในรูปแบบใหม่ จนเกิดเป็นเส้นสายของอาคารที่ดูสะดุดตา และเลือกใช้สีแดงเพื่อเชื่อมโยงถึง ‘สีสนิม’ ซึ่งได้กลายเป็นภาพจำของการของร้านกาแฟแบรนด์นี้ไปแล้ว ส่วนภายในก็พิเศษด้วยพื้นที่ Drip Bar และ Slow Bar ให้ลูกค้าเลือกสั่งกาแฟที่ชอบได้ตามใจ พร้อม Espresso Bar หัวใจหลักและซิกเนเจอร์ของที่นี่ตั้งอยู่กลางคาเฟ่บริเวณนี้ทุกคนจะได้พบกับเคาน์เตอร์ขนาดใหญ่ที่สั่งทำขึ้นมาโดยเฉพาะ ขอบโต๊ะทำจากคานเหล็ก H-beam แล้วหล่อคอนกรีตภายใน ส่วนชั้น 2 เป็นพื้นที่ของ Co-working Space โดดเด่นด้วยโต๊ะรูปทรงเพชรขนาดใหญ่ที่สั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษ เพื่อให้เรด ไดมอนด์ สื่อความหมายได้ชัดเจนในทุกอณูของร้าน
นอกจากนี้เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในช่วงเวลาเร่งด่วน ทางร้านยังมีบริการ Drive-Thru โดยให้ลูกค้าค่อย ๆ ขับรถผ่านโรงคั่ว และต้นกาแฟ เข้ามายังจุดบริการด้านใน เพื่อสั่งกาแฟชงสดใหม่ทุกแก้วจากบาริสต้าที่คอยให้บริการอยู่ ทั้งนี้เพื่อยกระดับร้านกาแฟและให้ลูกค้าสะดวกสบายมากที่สุด
เพราะทุกอย่างเกิดจากความหลงใหลในกาแฟอย่างเข้มข้น การเลือกใช้วัสดุและธีมสีในร้านก็ไม่ได้รับการยกเว้น โดยผู้ออกแบบเลือกใช้ธีมสีหลัก ๆ คือสีดำ น้ำตาล เขียว แดง และทอง เสริมด้วยเหล็กและไม้หมอนสำหรับเป็นวัสดุในการตกแต่ง ซึ่งเหล็กนั้นได้ทำหน้าที่สื่อถึงความแข็งแกร่ง ดุดัน และความมีตัวตน โดยทางผู้ออกแบบได้ทำเหล็กให้เกิดสนิมด้วยเทคนิคลับเฉพาะของร้าน เพราะต้องการให้ลวดลายของสนิมที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของร้านเท่านั้น อย่างบริเวณผนังหลัง Espresso Bar ทั้งหมดกรุด้วยแผ่นเหล็กที่มีลวดลายสนิมเต็มพื้นที่ตั้งแต่พื้นจรดเพดาน มีลวดลายล้อกับไลท์ติ้งที่จัดวางตำแหน่งอย่างจงใจ เพื่อขับให้เฉดสีของสนิมเด่นชัดยิ่งขึ้น ส่วนอีกหนึ่งวัสดุสำคัญอย่าง ไม้หมอน ที่สั่งซื้อมาจากทั่วประเทศนั้นได้นำมาทำเป็นพื้นของร้าน เพราะตั้งใจสื่อถึงการค้นหา และนำเข้าเมล็ดกาแฟที่ดีที่สุดจากทั่วโลก ข้ามน้ำข้ามทะเลมายังคาเฟ่แห่งนี้
นอกจากวัสดุหลักอย่าง เหล็ก และไม้หมอน ทางร้านยังเลือกใช้อิฐเพื่อดึงความอบอุ่นเป็นกันเอง ลดทอนความดุดันของเหล็กให้ภาพรวมของร้านออกมากลมกล่อมยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเลือกใช้หนังกับงานเฟอร์นิเจอร์ เนื่องจากเฟอร์นิเจอร์เป็นของใช้อันดับแรก ๆ ที่ลูกค้าจะได้สัมผัส หรืออาจจะนั่งอยู่ตรงนั้นหลายนาที การเลือกใช้หนังเช่นนี้ก็เพื่อสร้างความรู้สึกหรูหรา คลาสสิก และพรีเมียมให้แก่ลูกค้าที่มาใช้บริการ
แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสร้างอาณาจักรของกาแฟที่มีคุณภาพในระยะเวลาที่น้อยขนาดนี้ และคงจะยากยิ่งกว่าหากทุกคนที่นี่ ไม่ได้มีความหลงใหลในเรื่องของกาแฟที่มากพอจะขับเคลื่อนความฝันไปในทิศทางเดียวกัน เพราะสำหรับที่นี่กาแฟที่มีคุณภาพคือ ความภูมิใจ และความใส่ใจ เพื่อให้ลูกค้าได้ดื่มกาแฟที่มีรสชาติอร่อย น่าประทับใจ เหมาะกับความชื่นชอบของคุณมากที่สุดนั่นเอง
ออกแบบ-ตกแต่ง : Red Diamond
เรื่อง : Ektida N.
ภาพ : ศุภกร