เชื่อว่าในทุกๆ อุตสาหกรรม กระบวนการผลิตย่อมก่อให้เกิดมลพิษหรือสิ่งปฏิกูลไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งมักตามมาด้วยผลกระทบและปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก ทว่าความน่าสนใจคือแต่ละโรงงานอุตสาหกรรมจะมีวิธีการอย่างไรในการจัดการของเสียที่เกิดขึ้นต่างหาก เนื่องจากกระบวนการกำจัดหรือบำบัดของเสียเหล่านี้เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยองค์ความรู้ ความเข้าใจ และงบประมาณในการจัดการ ทำให้หลายๆ โรงงานอุตสาหกรรมเลือกที่จะมองข้ามหรือละเลยไป
แต่สำหรับ Homework Fabrics ผู้นำด้านอุตสาหกรรมสิ่งทอขนาดใหญ่ ซึ่งมีโรงงานอันได้มาตรฐานในการผลิต ที่ให้ความสำคัญและใส่ใจปัญหาสิ่งแวดล้อม จึงมีกระบวนการจัดการของเสียที่เกิดขึ้นอย่างจริงจังในทุกขั้นตอน เพื่อตอกย้ำแบรนด์ผู้ผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน หนึ่งในประเด็นที่ผู้บริโภคในหลายประเทศกำลังหยิบยกขึ้นมาเป็นข้อบ่งชี้ในการตัดสินใจว่าจะสั่งซื้อผลิตภัณฑ์หรือไม่
สำหรับอุตสาหกรรมสิ่งทอนี้ สามารถแยกประเภทของขยะที่เกิดขึ้นได้ออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ คือ ขยะแห้งและขยะเปียก โดยขยะเปียกที่เกิดขึ้นทั้งหมดคือน้ำเสีย อันเกิดจากกระบวนการต่างๆ ในการทอผ้า ดังนี้
- กระบวนการเตรียมเส้นด้าย เนื่องจากเส้นด้ายที่ใช้ทอมีหลากหลายขนาดตามแต่ความละเอียดของเนื้อผ้าที่ต้องการ ทำให้เส้นด้ายที่มีขนาดเล็กต้องถูกนำมาผ่านการเคลือบด้วยกาวผสมน้ำแบบชั่วคราวก่อน เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับเส้นด้าย ส่งผลให้เวลานำไปเข้าเครื่องทอในความเร็วสูงเส้นด้ายจะไม่ขาด
- กระบวนการล้างกาว หลังจากเคลือบกาวแบบชั่วคราวแล้ว ก่อนเข้าสู่กระบวนการย้อมสี จะต้องทำการล้างกาวหรือแป้งออกให้หมด มิเช่นนั้นสีย้อมจะไม่สามารถเข้าไปจับกับเส้นด้ายได้ ทำให้เกิดการด่างเนื่องจากบางส่วนกินสีได้ บางส่วนที่กาวยังอยู่จะกินสีไม่ติด
- กระบวนการทอผ้าแบบระบบน้ำ เป็นเครื่องทอที่ใช้น้ำเป็นพาหะในการผูกเส้นด้าย ลองนึกภาพกี่ทอผ้าแบบดั้งเดิมที่ต้องใส่หลอดด้ายเข้าไปในกระสวยแล้วทำการสอดกระสวยกลับไป-มา ซึ่งในระบบอุตสาหกรรมที่ต้องผลิตในปริมาณมาก จึงจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต น้ำจึงทำหน้าที่ประหนึ่งกระสวยที่นำพาเส้นด้ายทอในความเร็วพันรอบต่อนาที ซึ่งน้ำตรงนี้เองที่ไม่เพียงแต่เป็นตัวนำส่งเส้นด้าย แต่ยังชะล้างกาวบนเส้นด้ายที่หลงเหลือให้ปะปนลงมากับน้ำด้วย
จากทั้งสามกระบวนการทำให้ได้มาซึ่งน้ำเสีย ที่ปะปนไปด้วยไขมัน แว็กซ์ และสิ่งสกปรกต่างๆ จากทั้งกาว น้ำมันเครื่องหรือน้ำมันที่อยู่รอบเครื่องก็จะผสมกับน้ำพวกนี้ออกมา โดยน้ำเสียจากทุกขั้นตอนจะไหลลงตามท่อระบายและไปรวมกันเพื่อนำไปบำบัดในขั้นตอนถัดไป ผ่านบ่อบำบัดทั้ง 8 เริ่มจากบ่อแรกที่ทำการใส่สารเคมีลงไปเพื่อให้สิ่งสกปรกลอยตัวขึ้นสู่เหนือน้ำแล้วจับตัวกันเป็นก้อน จากนั้นก็ทำการตักขยะส่วนนี้ออกนำไปตากแดดเพื่อรอบริษัทกำจัดขยะมารับไปกำจัดในขั้นถัดไป ส่วนน้ำที่เหลือจะค่อยๆ ถูกบำบัดผ่านตัวกรองอย่างบ่อทราย พักทิ้งไว้จนสะอาดค่อยรีไซเคิลกลับเข้าไปใช้ใหม่ในกระบวนการผลิต ซึ่งคิดเป็น 60% ของน้ำเสียทั้งหมด แต่ก่อนที่จะดึงไปใช้งานใหม่นั้น ยังต้องผ่านถังกรองขนาดใหญ่เพื่อให้ค่า pH ของน้ำอยู่ที่ 7.5 เพราะเป็นค่าความด่างที่จะทำให้เครื่องจักรไม่เกิดสนิม
และขยะอีกประเภทที่เกิดขึ้นคือขยะแห้ง ในส่วนของอุตสาหกรรมสิ่งทอก่อให้เกิดขยะที่เรียกว่า “หางด้าย” กล่าวคือด้วยกลไกของเครื่องจักรที่ต้องทอผ้าด้วยระยะเวลาอันรวดเร็ว ระบบของการทอคือการส่งเส้นด้ายไปทางเดียวแล้วยึดเกี่ยวเส้นด้ายไว้กับอีกฝั่ง ไม่เหมือนกับการทอด้วยกี่ทอผ้าแบบดั้งเดิมที่กระสวยส่งไป-กลับทำให้ริมผ้าเรียบทั้งสองด้าน ส่งผลให้มีฝั่งหนึ่งของผืนผ้าที่จะมีปลายด้ายรุ่ยๆ ออกมา ซึ่งส่วนนี้นี่เองที่จะถูกจัดออกตลอดความยาวของผืนผ้า โดยคิดเป็น 10% ของการผลิตทั้งหมด
จะเห็นได้ว่าในหลายๆ ขั้นตอนของกระบวนการผลิตย่อมก่อให้เกิดของเสีย หากแต่ความใส่ใจและมองความยั่งยืนในระยะยาว ทำให้ทุกวันนี้ Homework จึงกลายเป็นอีกหนึ่งโรงงานอุตสาหกรรมที่นักลงทุนต่างชาติให้ความไว้วางใจในผลิตภัณฑ์ เนื่องจากสามารถการันตีได้ว่าเป็นโรงงานรักษ์โลก ที่ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม และมีหลายๆ โรงงานขอเข้ามาดูกระบวนบำบัดเพื่อนำไปปฏิบัติตาม นับเป็นต้นแบบที่น่าสนใจซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพในการสร้างส่วนแบ่งทางตลาด และเชื่อว่ายังมีอีกหลายๆ ส่วนที่ Homework มุ่งหวังจะพัฒนาและหาทางออกให้กับขยะอื่นๆ ที่เกิดขึ้นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ในอนาคตอันใกล้นี้