9,444 กิโลเมตร คือระยะห่างของกรุงเทพฯ – ปารีส ทำไม? ใคร ๆ ต่างเดินทางค่อนโลก เพื่อไปพบ “บ้านหนึ่งหลัง” ที่ชื่อ Villa Savoye และเราจะพาทุกคนออกเดินทางไปเพื่อไปพบกับวิลล่าซาวอย บ้านที่ทรงอิทธิพลที่สุดหลังหนึ่งในวงการสถาปัตยกรรมยุคโมเดิร์น
นี่คือบ้านที่ในชีวิตสถาปนิก และเด็กถาปัตย์ฯ คนไหนก็ตาม ต้องเคยได้ยินชื่อ เพราะเป็นชื่อที่ได้รับการหยิบยกขึ้นมาในชั้นเรียนประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมตลอดเวลา แม้จะผ่านเวลามากว่า 95 ปีแล้ว “วิลล่าซาวอย” (Villa Savoye) ก็ยังเป็นบ้านที่เป็นหมุดหมายสำคัญให้ต้องไปเยือนสักครั้งในชีวิต
บ้านหลังนี้สร้างเสร็จในปี ค.ศ.1931 หนึ่งในผลงานชิ้นเอกของสถาปนิกชาวสวิส-ฝรั่งเศส เลอ กอร์บูซิเยร์ (Le Corbusier 1887-1965) แม้จะเป็นเพียงบ้านหลักเล็กขนาด 480 ตารางเมตร แต่วิลล่าซาวอยกลับทำหน้าที่ต้อนรับแขกผู้มาเยือนประมาณปีละ 40,000 คน โดยอยู่ใต้การบริหารจัดการของรัฐบาลฝรั่งเศสที่เปิดให้คนธรรมดาอย่างเรา ๆ สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้
#อะไรที่ทำให้บ้านหลังนี้เป็นหมุดหมายของคนทั่วโลก
ดูจากแค่รูปบ้าน บ้านหลังนี้มีรูปลักษณ์ภายนอกที่อาจดูไม่ได้พิเศษอะไรไปกว่าบ้านหลังอื่น ๆ ที่เราเห็นทั่วไปในยุคปัจจุบัน เรียกว่าธรรมดาเสียจนอาจรู้สึกว่าเหมือนบ้านหน้าปากซอยในยุคนี้ แต่สิ่งที่ทำให้เราต้องข้ามน้ำข้ามทะเลมาดูเป็นเพราะถ้าเราลองจินตนาการเพื่อพาตัวเองย้อนกลับไปเมื่อ 95 ปี ที่แล้ว ยุคนั้นกระแสอาร์ตนูโวกำลังติดลมบนอยู่ในฝรั่งเศส ชนิดที่ว่าตึกทั่วไปมีความแตกต่างไปจากวิลล่าซาวอยอย่างสิ้นเชิง นั่นจึงทำให้การกำเนิดของบ้านหลังนี้ มีทั้งความสดใหม่ และดูแตกต่างไปจากอาคารอื่น ๆ ทั่วไป เกิดแรงกระเพื่อมที่สร้างความน่าสนใจให้เกิดขึ้น จนถือว่าเป็นการปฏิวัติวงการออกแบบให้กลายเป็นกระแส หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อยุค Modern Architecture
#บ้านตัวอย่างที่รวบตึงแนวคิดของสถาปนิกชื่อดัง
“A house is a machine for living in” คือประโยคคลาสสิกที่ เลอ กอร์บูซิเยร์ เป็นผู้กล่าวไว้ เขามีความเชื่อว่า บ้านที่ดีจะต้องทำหน้าที่เปรียบเสมือนเครื่องจักร คือใช้งานได้ดี มีประสิทธิภาพแต่เรียบง่าย ไม่ต้องตกแต่งอะไรมาก แล้วจะออกแบบเครื่องจักรของเราได้อย่างไร? วิลล่าซาวอย ถือเป็นบ้านตัวอย่างในการตอบโจทย์ดังกล่าว โดยมัดรวมหลักการออกแบบของ เลอ กอร์บูซิเยร์ ในแบบที่เรียกว่า “Five Points of Architecture” ไว้อย่างครบถ้วน
#เดินทางสู่บ้านหน้าตาธรรมดาแต่รุ่มรวยด้วยความคิด
ตัวบ้านตั้งอยู่ที่เมือง Poissy ในประเทศฝรั่งเศส ที่ล้อมรอบด้วยธรรมชาติ เราสามารถเดินทางไปได้ด้วยรถไฟจากตัวกรุงปารีส โดยใช้เวลา 1 ชั่วโมงเศษ เกิดขึ้นจากความตั้งใจของเจ้าของบ้านเดิม ที่อยากสร้างวิลล่าหลังนี้ไว้ใช้เป็นบ้านพักตากอากาศช่วงสุดสัปดาห์ เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายจากในเมือง
#ประสบการณ์สัมผัสความคิดของเลอกอร์บูซิเยร์
เราเดินผ่านประตูรั้วบ้านที่เปิดไว้ เดินผ่านสวนไปเรื่อย ๆ จนเจอเข้ากับบ้านของจริงที่เคยเห็นแต่ในรูป อากาศดี ๆ กับแดดเงาแรง ๆ ในวันนั้น ช่วยให้ทุกอย่างชัดขึ้นไปอีกมิติ ภาพจำของวิลล่าซาวอยที่ทุกคนจำได้ คือผนังผืนยาวชั้นสองที่เหมือนลอยอยู่บนเสารอบด้าน (Piloti) อันเป็นหนึ่งใน Five Points of Architecture ของเลอ กอร์บูซิเยร์ สร้างให้เกิดแนวเดินรถใต้บ้าน
#ความสวยงามควบคู่กับการใช้งาน
เลียบเข้าสู่ประตูทางเข้าเป็นผนังโค้ง เหนือกว่าความสวยงาม คือความโค้งที่ล้อไปกับแนวเดินรถ เพื่อเลี้ยวเข้าที่จอดรถ ก่อนจะพบกับเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋ว เพื่อนำทางเราเข้าไปยังบริเวณที่เคยเป็นที่จอดรถเก่า ซึ่งปัจจุบันได้รับการจัดให้เป็นห้องนั่งชมวีดิทัศน์ เปิดประวัติบ้านให้แก่ผู้เข้าชม
#ตามรอย Five Points of Architecture ทางลาดที่อยู่หน้าประตูค่อย ๆ พาเรามายังชั้นสอง เพื่อมาเจอกับห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีหน้าต่างแนวนอนยาวเต็มบานตลอดแนวกำแพงบ้าน เปิดให้เห็นวิวต้นไม้สวย ๆ เต็มตา (Ribbon Window) ลองจินตนาการไปว่า ถ้าได้มาใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้ ห้องนั่งเล่น และห้องกินข้าว พื้นที่ส่วนนี้น่าจะเป็นมุมโปรดของเราได้ไม่ยาก เพราะข้างกันกับห้องส่วนนี้ยังเป็นห้องครัวที่ครบครัน พร้อมวิวอีกด้านของห้องที่มีสวนดาดฟ้า (Roof Garden) โปร่งสบายตา เปิดให้เรามองเห็นวิวธรรมชาติได้จากทุกมุม
อีกฟากของส่วนนั่งเล่น เป็นส่วนห้องนอนที่กั้นผนังแบบไม่อิงแนวเสา (Free Plan) ให้มีขนาดเหมาะสมกับแต่ละห้อง แม้ใช้วิธีนี้จะเห็นเสาลอย แต่ก็แลกมาด้วยหน้าต่างยาวแบบเต็ม ๆ ตา
ในห้องน้ำเราพบกับกิมมิกเล็ก ๆ ที่ เลอ กอร์บูซิเยร์ ทำขึ้นเพื่อเอาใจเจ้าของบ้าน อย่างเก้าอี้ที่ก่อขึ้นจากกระเบื้องสีฟ้า ซึ่งอยู่ข้างอ่างอาบน้ำ มีดีไซน์คุ้นตาไปกับรูปทรงอันคล้ายกับเก้าอี้ the chaise longue LC4 ที่โด่งดังไปทั่วโลก เมื่อเดินครบทุกมุมในบ้านแล้ว เราใช้ทางลาดเพื่อเดินต่อขึ้นไปยัง Roof Garden ชั้นบนสุด ที่มีสวนขนาดเล็กไว้เป็นอีกมุมให้ได้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ที่น่ารื่นรมย์
หลังจากเดินดูภายในบ้านจนครบ เราตัดสินใจเดินออกมานั่งกินแซนด์วิชที่พกมาในสวนหน้าบ้าน ซึ่งเป็นอีกมุมที่ทำให้เราเห็นภาพรวมของบ้านในตำนานอย่างเต็มตา ผนังด้านนอกอาคารที่ยื่นออกมาอย่างอิสระ (Free Facade) ทำให้เรารู้สึกว่าชั้นสองเบาอย่างน่าอัศจรรย์ใจ เหมือนลอยอยู่บนเสา
#แม้แทบไม่เคยมีคนอยู่แต่ทรงคุณค่ากับวงการสถาปัตย์ แม้วิลล่าซาวอยจะแทบไม่เคยได้มีผู้อาศัยอยู่จริง เนื่องจากประสบปัญหามากมายจากวิทยาการการก่อสร้างที่ยังตามไม่ทันงานออกแบบสุดล้ำหน้า แต่กลับได้ทำหน้าที่เป็นงานสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าสำหรับวงการศึกษาสถาปัตยกรรมศาสตร์มาอย่างยาวนาน
#จากอดีตกลับสู่ปัจจุบันเมื่อแซนด์วิชหมด เราที่ทั้งอิ่มท้อง และอิ่มใจ ขอบอกลาบ้านหลังนี้ด้วยความรู้สึกอิ่มเอมไปกับ “ความเรียบง่ายแต่ซับซ้อน มีเหตุผลแต่เร้าอารมณ์” อย่างที่ William J. R. Curtis ได้เคยกล่าวถึงไว้ในหนังสือ Modern Architecture since 1990 ความคิดนี้ยังวนเวียนอยู่ในหัวเราระหว่างนั่งรถไฟกลับกรุงปารีส ในฐานะสถาปนิกคนหนึ่ง เลอ กอร์บูซิเยร์ ได้ฝากความคิดบางอย่างเอาไว้ ความคิดที่อยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1931 ความคิดที่มีตัวตนอยู่จริง กับบ้านหลังนี้ที่มีนามว่า “วิลล่าซาวอย”
ภาพ: Yusumap, kitsupphat
เรื่อง: Yusumap
เจ้าของเพจท่องเที่ยวสถาปัตยกรรม
Yusumap และสถาปนิกที่ Out & About Architects
“ยุสุมา ยังไม่มีงานอดิเรก แต่ชอบดูดฝุ่น”