จากนั้นก็เดินย้อนกลับไปยังถนนนครนอก เพื่อจะไปถ่ายรูปหับโห้หิ้น โรงสีแดง ซึ่งเป็นจุดเช็กอินสำคัญของตัวเมืองสงขลาที่นี่เป็นโรงสีข้าวที่ตั้งขึ้นโดยขุนราชกิจจารี (จุ่นเลี่ยง ลิ้มเสาวพฤกษ์) ในปี พ.ศ.2457 ต่อมาหลานของท่านคือ คุณสุชาติ รัตนปราการ ได้ซื้อกิจการทั้งหมดและพัฒนาโรงสีข้าวเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์พลังไอน้ำ ใช้แกลบเป็นเชื้อเพลิง ชื่อโรงสี “หับ โห้ หิ้น” เป็นภาษาฮกเกี้ยน หมายถึง สามัคคี กลมเกลียว และเจริญรุ่งเรือง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2ได้เลิกกิจการโรงสีข้าว เปลี่ยนเป็นโกดังเก็บยางพาราเพื่อส่งออก และท่าเทียบเรือประมง ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของภาคีคนรักเมืองสงขลาสมาคม
ยังไม่ทันไรก็ได้เวลารับประทานอาหารผมจึงเดินกลับไปยังถนนนางงามอีกครั้งเพื่อแวะร้านอาหารไทยจีนเก่าแก่ของเมืองอย่างแต้เฮี้ยงอิ้ว ซึ่งเป็นอีกร้านที่ไม่ควรพลาด
ก่อนเดินทางออกจากสงขลา ผมบังเอิญเดินผ่านซอกเล็กๆที่เขียนว่า Café De Roo(คาเฟ่ เดอ รู) แค่ชื่อร้านก็เรียกความสนใจได้แล้ว ลองเดินเข้าไปดูหน่อย ก็พบว่าไม่ธรรมดาจริงๆครับสโลแกนของร้านนี้คือ เปิดช้า ปิดเร็ว แถมร้อนอีก อันนี้เจ้าของร้านเขาพูดเองเลยนะ เป็นร้านกาแฟและน้ำผลไม้ ผมลองสั่งน้ำมะม่วงเบาปั่นมาดื่มคลายร้อนรสชาติได้ใจจริงๆ ก็ถือเป็นอีกร้านที่ควรมาลองครับ
ทริปท่องเที่ยวในครั้งนี้จบลงอย่างสวยงาม แม้อากาศจะร้อนอบอ้าวทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าไปบ้าง แต่ก็ถือเป็นการเปิดหูเปิดตาที่น่าสนุกดี เพระสำหรับผม การเดินทางคือการเรียนรู้ผู้คน ได้พบเจอเพื่อนใหม่ ได้รู้ใจตัวเองว่าชอบแบบไหน สิ่งหนึ่งที่ผมจะไม่พยายามคิดเลยคือการคาดหวังก่อนมาเที่ยว เพราะยิ่งเราคาดหวัง ใจก็จะเที่ยวไม่สนุก แต่ถ้าไม่คาดหวังว่าจะเจออะไรแบบไหน เราก็จะลุ้นไปกับทุกสถานการณ์ที่พบเจอ ผมว่าแบบนี้มันก็สนุกดีนะ…
ขอขอบคุณ
ผู้นำเที่ยว: คุณปกรณ์ รุจิระวิไล และคุณสกล ปิ่นเงิน
เรื่องและภาพ:“ไตรรัตน์ ทรงเผ่า”
ภาพพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา : ฤทธิรงค์ จันทองสุข
ข้อมูล
เอกสารการท่องเที่ยวเมืองสงขลา