เมื่อ “สปา” ถูกมองเห็นผ่านนิยามของคำว่า เวลเนส (Wellness) สถานที่ที่ไม่เพียงแต่มอบบริการเพื่อสุขภาพทางกาย หากแต่ยังหมายรวมไปถึงสุขภาพทางใจ โดยต้องมีงานดีไซน์เข้ามาช่วยสร้างสรรค์พื้นที่เพื่อให้เข้าถึงความผ่อนคลายอย่างแท้จริง
ร่วมมารับฟังบทสัมภาษณ์ของสองดีไซเนอร์จาก 67s คุณปกรณ์ รัตนสุธีรานนท์ และคุณกรกนก เมฆศิลป์ สถาปนิกและอินทีเรียร์ดีไซเนอร์ที่จะมาบอกเล่าการทำงานของพวกเขาในการออกแบบประสบการณ์ในสปา และ เวลเนส เซ็นเตอร์ หลากหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น Yunomori Onsen & Spa KLAI Thai Spa รวมถึงการทำงานในฐานะอินทีเรียร์ดีไซเนอร์ให้แก่ The Sukhothai Spa เพื่อส่งเสริมโมเมนต์แห่งการพักผ่อนภายในพื้นที่สปา ให้เหล่าผู้ใช้งานที่มีประสบการณ์แตกต่างกันได้เข้าถึงการปรนนิบัติจิตใจและร่างกาย คลายความ (ตึง) เครียด ได้อย่างมีประสิทธิผล



สองดีไซเนอร์หลอมรวมประสบการณ์สู่การออกแบบเวลเนสเซ็นเตอร์
คุณแนน – กรกนก: “ย้อนไปเมื่อปี 2008 นั่นคือจุดเริ่มต้นของ 67s โดยมีคุณปกรณ์เป็นผู้ก่อตั้ง ในการทำงานระยะเริ่มต้นของสตูดิโอเน้นที่การออกแบบรีเทล ออฟฟิศ ร้านอาหาร ส่วนแนนเข้ามาในช่วงที่ออฟฟิศได้ออกแบบร้านอาหาร Bo.Lan ซึ่งมีหุ้นส่วนเป็นคุณโจ – สมิทธิ์ เมฆอรุณกมล ซึ่งต่อมาเราได้มีโอกาสออกแบบสปา Yunomori Onsen ของเขา ถือเป็นช่วงแรกที่ทำให้เราได้สำรวจตัวเองว่าออฟฟิศเราถนัดด้านไหน”
“โดยก่อนที่แนนจะมาร่วมงานกับคุณปกรณ์ ตอนนั้นแนนทำงานในบริษัท ซึ่งอยู่ในทีม Hospitality ออกแบบโรงแรมทั้งในและต่างประเทศ แล้วก็ไปเรียนต่อเรื่องแบรนดิ้งกลับมา จึงมาทำงานกับคุณปกรณ์ พอนำประสบการณ์ของเรามารวมกันก็เหมือนเริ่มกรองทางมาเรื่อย ๆ ในการออกแบบพื้นที่แบบ Wellness”


ยุคเปลี่ยนความต้องการสปาเปลี่ยน
คุณปกรณ์: “ยุคที่เริ่มทำ Yunomori Onsen & Spa เมื่อปี 2011 ถ้าจะบอกว่าแตกต่างกันอย่างไรกับยุคนี้ ตอนนั้นลูกค้าที่คุณโจมองไว้คือคนญี่ปุ่นเป็นหลัก แต่ก็จะมีคนไทยที่มาใช้บริการบ้าง โดยเจ้าของก็ไม่ได้มองว่าพอเติบโตแล้วลูกค้าไทยและนักท่องเที่ยวจะกลายเป็นลูกค้าหลัก”


“ถ้ามองถึงความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นของสัญชาติไหน การมาสปาค่อย ๆ กลายเป็นวัฒนธรรมร่วม ทั้งในไทยหรือที่ต่างประเทศ สิ่งที่สะท้อนกลับมา เราได้เห็นจากงานที่เราไปออกแบบมา อย่างคอนโดฯ ที่เขาก็อยากให้มีพื้นที่ออนเซ็น แสดงให้เห็นว่าความต้องการของคนในเรื่อง Wellness นั้น ได้เข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของคนไทยไปแล้ว”
คุณแนน – กรกนก: “ถ้าให้แบ่งลำดับคร่าว ๆ ให้เห็นภาพชัด ยุคก่อนเวลาเราจะไปสปา สปาถูกมองว่าต้องมีความไพรเวต เข้าถึงยาก จ่ายเงินเยอะ คนต้องมีความตั้งใจในการจะเข้าสปาอย่างจริงจังมาก เพราะต้องการการพักผ่อน
“แต่พอถึงยุคนี้จะเห็นว่ามีออนเซ็น หรือสปามีความสเปเชียลลิสต์มากขึ้น มีความนิช (Niche) มากขึ้น และหลากหลายมากขึ้น รวมถึงมีความลงลึก มีดีเทลที่แตกต่างกันไป ลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าเขาอยากใช้บริการสปาในรูปแบบไหน เช่น สปาไทย จะเป็นสปาไทยโมเดิร์นไหม หรือไทยจริง ๆ ก็มีทางเลือกที่ตอบโจทย์ นอกจากนั้นยังมีสปาญี่ปุ่น อินเดีย บาหลี ก็มีให้เลือกค่อนข้างเยอะ ตามสไตล์ไป”
คุณปกรณ์: “ผู้ประกอบการเองก็มีการปรับตัวนะ เมื่อก่อนสปาอาจจะแค่เป็นกิมมิกนิดเดียวก็ทำการตลาดได้แล้ว อย่าง สปาแบบลักชัวรี่ สปาแบบไทย แค่นี้ก็พอแล้ว แต่เดี๋ยวนี้แม้กระทั่งโครงการที่เป็นไทยแท้ ๆ ก็ยังต้องเอาความเป็นไทยมาปรับใหม่ให้มีรูปแบบอื่นมาผสม อย่าง ฮัมมัม (การอาบน้ำแบบตุรกี) เข้ามาผสมในแพ็คเกจที่เขาจะขายลูกค้า ในตลาดสปาที่มีการแข่งขันกันมาก ๆ สปาก็ต้องขายจุดขายมากขึ้นตามไปด้วย จะเห็นการหยิบยืมศาสตร์ต่าง ๆ มาผสม มากขึ้น”

ออกแบบประสบการณ์พักผ่อนในสปาผ่านผัสสะทั้งห้า
คุณแนน – กรกนก: “จริง ๆ เรื่องสุขภาวะของผู้ใช้งานจริง ๆ เกิดจากผัสสะทั้ง 5 หรือ Sensory ซึ่งควบคู่กับสิ่งที่แนนเรียนมาด้วย อย่างในแง่ของแบรนดิ้งก็จะมีการเน้นเรื่อง Sensory Design ด้วยเหมือนกัน การทำพื้นที่สปา เราจะต้องทำอย่างไรให้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนนั้น คือการที่ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ เพราะความสุขตรงนั้นมันจะช่วยเล่าเรื่องราวของแบรนด์ได้ด้วย
“ถ้าพูดถึงสุขภาวะที่ดี หรือ Sensory มันคือสัมผัสทั้ง 5 อาทิ รูป รส กลิ่น เสียง และการสัมผัส ซึ่งแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน บางคนรู้สึกว่าได้รับกลิ่นแล้วทำให้ผ่อนคลาย บางคนได้รับเท็กซ์เจอร์ หรือผิวสัมผัสที่นุ่ม ๆ ก็รู้สึกผ่อนคลายได้แล้ว เพราะแต่ละคนต่างมีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เรายึดในใจตลอดว่า เราอยากสอดแทรกแนวคิด Sensory นี้เข้าไป ทั้งในสเปซและวิชวลต่าง ๆ ซึ่งวิชวลก็คือโกล์วหลัก ๆ ของสถาปนิกอยู่แล้ว”


ให้ความสำคัญกับผู้ใช้งานเพื่อจุดหมายที่ชัดเจน
คุณแนน – กรกนก: “เหมือนเราสวมวิญญาณคนที่จะเข้ามาใช้งานให้ได้ เราต้องกำหนดคาแร็กเตอร์ของเขาให้ชัดเจนมาก ๆ สิ่งนี้ก็เลยเป็นนิสัยของเราในการชอบสังเกต มีเพื่อนหลากหลาย ทำให้ได้รู้ว่าเราต้องการอะไรที่มีความเฉพาะเจาะจง เป็นธรรมชาติที่เราชอบสะสมความรู้”
คุณปกรณ์: “พอคุณแนนนำเรื่องแบรนดิ้งเข้ามา การทำแบรนดิ้งได้ช่วยให้การออกแบบมันง่ายขึ้น มีไดเร็กชั่นที่ชัดเจนขึ้น พอมี User Centric Design เข้ามาใช่ปุ๊บ ทำให้เรารู้ว่าเราจะทำงานเพื่อตอบโจทย์ใคร เรื่องของดีไซน์ที่เราอยากจะให้มันเกิดขึ้น มีจุดหมายปลายทาง เพื่อให้เขาเห็นสเปซ มีความสุขที่ได้เข้ามาในสเปซ ทำให้มันตอบเหตุผลว่า ทำไมเราจึงเลือกเท็กซ์เจอร์แบบนี้ สำหรับโปรเจ็กต์นี้ ทำไมเราถึงเลือกกลิ่นนี้ เพลงแบบนี้ ซึ่งมันก็จะตอบโจทย์เรื่อง Sensory Design ทำให้เห็นภาพที่ชัดเจน”



แนวโน้มธุรกิจเวลเนสเมื่อคนหันมาสนใจสุขภาพมากขึ้น
คุณปกรณ์: “สปาตอนนี้ต่างจากสมัยก่อน ที่สปามักอยู่ในโรงแรมหรู แต่ปัจจุบันสปามีการแตกแขนงแยกย่อยเยอะ มีสปาไซซ์เล็ก ๆ หรือสปาห้องแถวก็มี ผมมองว่าอนาคตเราอาจจะได้เจอสปาในที่แปลก ๆ มากขึ้น เพราะพื้นที่ในกรุงเทพฯ มันหนาแน่น ทำให้เราต้องพลิกแพลงพื้นที่มากขึ้น เช่น อาจจะไปอยู่ในโกดังเก่า หรือโรงงานอะไรสักอย่างก็เป็นได้”
คุณแนน – กรกนก: “คิดว่าเจนฯ ก็เกี่ยวกับการเปลี่ยนไปของพื้นที่เวลเนส อายุก็เกี่ยว หรือแม้แต่คนเจนฯ เดียวกัน ก็ยังมีความต้องการที่แตกต่างกัน เจนฯ Z เขาอาจจะบอกว่าออกไปวิ่งกับเพื่อนเป็นลักษณะแบบคอมมูนิตี้ ได้ไปรวมตัวกัน ได้ไปปลดปล่อยอะไรพร้อม ๆ กัน ถ้าถามแนนแนนก็อินโทรเวิร์ด ชอบอยู่คนเดียว อาจจะไปโยคะคนเดียว อาจจะไป Sound Bath คนเดียว

“สิ่งที่สนุกคือการเฝ้ามองพฤติกรรมผู้ใช้งานที่มีความต้องการเปลี่ยนไปเร็วมาก อย่างตัวเราเองก็ชอบอะไรที่สงบและลึกขึ้นเรื่อย ๆ เจนฯ Z ก็จะมีกิจกรรมของเขาอีกแบบหนึ่ง ถ้าเราศึกษาเรื่อง Activity ที่เกิดขึ้น เราสามารถเอาจุดนี้มาดีไซน์ แล้วสร้างความครีเอทีฟอะไรบ้างอย่าง ต่อไปสปาอาจจะมีกิจกรรมบางอย่างเข้ามาผสม ซึ่งเราก็ต้องนำข้อมูลความต้องการของลูกค้ามาวิเคราะห์ แล้วดีไซน์ว่าเหมาะกับกลุ่มไหน สปาอาจจะกลายเป็นพื้นที่รวมกลุ่มให้คนมาทำกิจกรรมที่แปลกออกไปจากการมาสปารูปแบบเดิม ในอนาคตอาจจะกลายเป็นพื้นที่ของคนที่มารวมกันเป็นโซเชียลเวลเนสก็ได้ค่ะ”
เมื่องานมันตึง จึงขอคลายเครียด กับ 3 กิจกรรมของดีไซเนอร์
ฟังมุมมองและแนวคิดการทำงานเพื่อช่วยให้คนอื่นผ่อนคลายกันไปเยอะแล้ว ลองมาฟังนักออกแบบบ้างว่า ถ้าว่างจากการทำงานแล้ว พวกเขามีวิธีคลายเครียดอย่างไรกันบ้าง

Interior Designer: คุณแนน – กรกนก เมฆศิลป์
1.ชอบไปยิม เหนื่อยจากงาน ต้องไปออกแรง
อย่างเวทเทรนนิ่ง เข้าคลาสเต้นบ้าง ก่อนหน้านั้นเราออกกำลังกายทุกอย่าง แต่ยังขนาดทักษะทำความสนิทกับร่างกาย รู้สึกว่าควรพัฒนาเนอะ เลยลองเข้าคลาสเต้น แนนว่าคลายเครียดได้ดี ทำให้เราลืมเรื่องงาน หรือเรื่องเครียด ๆ ได้
2. ถ้ามีเวลาจะไปเที่ยวธรรมชาติอย่าง ดำน้ำ พอเราได้ลงไปในน้ำ เหมือนเราได้อยู่กับตัวเอง จริง ๆ ชอบว่ายน้ำ ดำน้ำ การดำน้ำ พอเราได้ลงไปในน้ำ เหมือนเราได้อยู่กับตัวเอง เป็นสภาวะล่องลอย ตอนดำน้ำ จะมีจินตนาการอะไรไม่รู้เกิดขึ้น ความรู้สึกนั้นเอามาเป็นอินสไปเรชั่นในการออกแบบอะไรบางอย่างได้
3. ชอบไปเดินซุปเปอร์มาร์เก็ตซื้อวัตถุดิบกลับมาทำอาหาร แล้วได้ดูกราฟิกบนฉลาก เป็นความเนิร์ดอย่างหนึ่ง ชอบไปดูโปรดักต์ใหม่ ๆ ชอบดูฉลาก ดูกราฟิก โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ของญี่ปุ่นน่ารักมาก เป็นความเนิร์ดส่วนตัวเหมือนกันเนาะ บางทีก็ซื้อวัตถุดิบใหม่ ๆ กลับมาทำอาหารเอง การกินอาหารถ้าเรารู้สึกว่าข้างในดี อาหารนั้นก็จะอร่อย กินแล้วสบายตัว

Architect: คุณปกรณ์ รัตนสุธีรานนท์
1. อยู่บ้านเล่นกับแมว ได้ลูบขนแมวก็ผ่อนคลายได้ ผมเลี้ยงแมวตัวเดียวครับ เป็นแมวพันธุ์ทาง เพื่อนเก็บมาจากทางด่วน ก็เลยเอามาให้ช่วยเลี้ยง เลี้ยงมานาน 15 ปี แล้ว แค่ได้ลูบขนแมวก็ผ่อนคลายได้
2. ถ้ามีเวลาก็จะไปยิมยกเวทซ้ำ ๆ เหมือนเราได้สงบ อยู่กับตัวเอง ยิมก็เป็นเวลเนสสเปซอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เราได้อยู่กับตัวเอง ถึงจะเป็นการทำอะไรซ้ำ ๆ อย่างการยกเวทซ้ำ ๆ ตอนนั้นเหมือนเราได้สงบ ไม่ต้องคิดเรื่องอะไรต่าง ๆ ได้โฟกัสกับการออกกำลังกาย หายใจเข้า – หายใจออก
3. ชอบรับประทานของอร่อย ๆ ครับ เราได้กินอะไรที่ไม่เคยกิน ได้วิเคาะห์อาหาร เหมือนงานศิลปะ
ถ้ามีร้านใหม่เปิด เพื่อนก็จะมาชวน เราได้ดูจานอาหารนั้น ๆ ว่ามีเท็กซ์เจอร์น่าสนใจ บางทีก็เป็นรสชาติที่เราไม่เคยกินมาก่อน เหมือนเราวิเคาะห์อาหาร เป็นเหมือนงานศิลปะ
ขอบคุณ: คุณปกรณ์ รัตนสุธีรานนท์ และคุณกรกนก เมฆศิลป์ จาก 67s
เรื่อง: Phattaraphon
ภาพ: นันทิยา บุษบงค์
KLAI Thai Spa สปาไทยร่วมสมัย ตีความ “ฤๅษีดัดตน” ในมุมมองใหม่
