บ้านอิฐสไตล์โมเดิร์น งานทดลองของสองเรา : TRY OUT LOUD

/ บ้านที่มีกลไกของธรรมชาติทำงานร่วมกันได้ดี
กับผลงานสถาปัตยกรรมฝีมือมนุษย์ /

เกือบชั่วโมงหลังฝ่าการจราจรและตึกรามบ้านช่องอันแออัดใจกลางนครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม สู่ปลายทางย่านชานเมืองซึ่งได้รับการจัดสรรและพัฒนาเป็นเขตชุมชนใหม่ ดังจะเห็นได้จากบ้านทีกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างไม่เว้นแต่ละซอย จนเราต้องมาสะดุดตากับบ้านสีเอิร์ธโทนของสองสามีภรรยาแห่ง MM++ Architects ออฟฟิศสถาปนิกที่กำลังมาแรงในเวียดนาม ที่มีความแตกต่างจากบ้านทั่วไป

เจ้าของบ้านหลังนี้ คือ คุณ Michael Charruault ทรีดีกราฟิกดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศสผู้เป็นสามี และภรรยา คุณ My An Pham Thi อินทีเรียร์ดีไซเนอร์สาวชาวเวียดนาม ทั้งคู่ตั้งใจออกแบบบ้านหลังนี้ขึ้น ไม่เพียงแค่ทำเป็นโฮมออฟฟิศ แต่ยังเป็นบ้านที่มีการทดลองเทคนิคการก่อสร้างสนุก ๆ ลงไปด้วย

“เราสองคนต้องการที่ดินขนาดใหญ่พอที่จะทำบ้านตามแบบที่คิดไว้ เพื่อแสดงให้ลูกค้าที่เข้ามาคุยงานมองเห็น และสร้างความมั่นใจได้ว่าพวกเขาสามารถใช้ชีวิตที่แตกต่างจากบ้านอื่น ๆ ได้อย่างปลอดภัยและอยู่สบาย”

บ้านจากฝีมือการทดลองของสองสามภรรยา โดดเด่นตั้งแต่แรกเห็นด้วยการเผยพื้นผิววัสดุที่ไม่เหมือนใคร ตั้งแต่กำแพงบ้านกับเทคนิคหล่อปูน โดยนำพื้นผิวของลำไม้ไผ่มาสร้างเท็กซ์เจอร์ ประตูไม้แนวตั้งที่ออกแบบให้ล้อไปกับลวดลายของกำแพงบ้านและหลังคาใบปาล์มแห้งที่ไม่เหมือนใคร

“50% indoor : 50% outdoor” เป็นคอนเซ็ปต์หลักที่ออฟฟิศแห่งนี้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ถ่ายทอดผ่านตัวบ้านได้อย่างชัดเจนตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้ามา ชั้นล่างสุดจัดวางตั่งรับแขกขนาดยักษ์ ส่วนรับประทานอาหารเปิดออกอย่างอิสระทั้งสามด้านแบบไม่มีอะไรมาขวางกั้นบรรยากาศสระน้ำและสวนสีเขียวด้านนอก ตอบโจทย์เรื่องการระบายอากาศได้อย่างดี ส่วนด้านความปลอดภัยก็ไม่ต้องกังวล เพียงดึงประตูเหล็กม้วนลงมากั้นพื้นที่ส่วนครัวก็สามารถปิดบ้านได้อย่างมิดชิดแล้ว

“เราต้องการสื่อสารกับลูกค้าว่า ดีไซน์เป็นทางเลือกในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ถ้าเราวางแผนและออกแบบอย่างดีก็จะเกิดผลพลอยได้ทั้งความสวยงามและเหมาะสมกับการอยู่อาศัยของแต่ละครอบครัว อย่างตรงนี้จะเห็นว่าการอยู่อาศัยในพื้นที่เปิดโล่งก็มีความปลอดภัยได้เช่นกัน”

กั้นขอบเขตมิดชิดด้วยกำแพงคอนกรีตทึบสูง 3 เมตร ปิดชั้นล่างของบ้านซึ่งเป็นส่วนเปิดโล่งได้ทั้งหมด ส่วนโรงรถใช้เฟรมเหล็กสีดำกั้นเป็นกรงและทำประตูเหล็กเชื่อมต่อกับทางเข้าบ้าน จึงสามารถเข้า - ออกได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องเปิดเผยให้เห็นโรงรถเลย — กั้นขอบเขตมิดชิดด้วยกำแพงคอนกรีตทึบสูง 3 เมตร ปิดชั้นล่างของบ้านซึ่งเป็นส่วนเปิดโล่งได้ทั้งหมด ส่วนโรงรถใช้เฟรมเหล็กสีดำกั้นเป็นกรงและทำประตูเหล็กเชื่อมต่อกับทางเข้าบ้าน จึงสามารถเข้า – ออกได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องเปิดเผยให้เห็นโรงรถเลย

พื้นที่ชั้นล่างเปิดโล่งกึ่งเอ๊าต์ดอร์ จึงเลือกทำพื้นและฝ้าเพดานเป็นคอนกรีตขัดมัน ที่ทนความชื้นและทำความสะอาดง่าย โดย ทดลองใช้ทรายเม็ดละเอียดผสมกับปูนใช้เทพื้น แต่กว่าจะเสร็จสมบูรณ์อย่างที่เห็นก็ต้องปรับแก้กันอยู่หลายครั้งทีเดียว — พื้นที่ชั้นล่างเปิดโล่งกึ่งเอ๊าต์ดอร์ จึงเลือกทำพื้นและฝ้าเพดานเป็นคอนกรีตขัดมัน ที่ทนความชื้นและทำความสะอาดง่าย โดยทดลองใช้ทรายเม็ดละเอียดผสมกับปูนใช้เทพื้น แต่กว่าจะเสร็จสมบูรณ์อย่างที่เห็นก็ต้องปรับแก้กันอยู่หลายครั้งทีเดียว

นอกจากการทดลองกับตัวสถาปัตยกรรมแล้ว งานดีเทลก็เป็นอีกเรื่องที่ทั้งสองให้ความสนใจ เช่น กำแพงบ้านเกิดจากการหล่อปูนโดยนำไม้ไผ่มาเป็นแม่พิมพ์ เกิดพื้นผิวแปลกตารับกับต้นไผ่เพรียวสูงที่ปลูกชิดกับแนวกำแพง พื้นปูนชั้นล่างทดลองผสมปูนกับหินที่มีความละเอียดต่างกันเพื่อสังเกตผลที่ตามมา รวมถึงการมุงหลังคาใบปาล์มตากแห้งทับหลังคาคอนกรีตสแล็บ ก็เป็นการผสมผสานวัสดุสองประเภทได้อย่างลงตัวเหลือเชื่อ

“หลังคานี่แค่ทำเล่นเอาสนุก เพราะอยากให้คนจำบ้านเราได้ อีกสัก 4 – 5 ปีเดี๋ยวก็ผุพังหมดแล้ว” คุณมิคาเอลเล่าติดตลก ห้องน้ำสีเขียว ครัวสีดำ บันไดสีแดง และพื้นคละสี รายละเอียดทั้งหมดนี้ทั้งคู่ตั้งใจให้เป็นกิมมิกแทนพื้นที่แต่ละส่วนของบ้าน เข้ากับการทดลองงานสัจวัสดุได้อย่างไม่ขัดเขิน

“เราดีไซน์เพื่อเล่นกับหลากหลายสีสัน ทุกส่วนที่เป็นสีเลือกใช้อีพ็อกซี่ เพราะดูแลรักษาง่าย ราคาถูก อย่างที่เลือกใช้สีเขียวกับห้องน้ำ เพราะเป็นสีที่กลมกลืนกับธรรมชาติด้านนอก หรือห้องครัวที่เลือกสีดำเพราะเป็นสีเรียบ ๆ เหมาะกับวัสดุที่มีเท็กซ์เจอร์ดิบ ๆ อย่างปูนและไม้”

ระหว่างการก่อสร้างอาจพบจุดที่ต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง แต่ทั้งคู่ก็มองโลกในแง่ดีว่าเป็นการช่วยสั่งสมประสบการณ์สำหรับการแก้ปัญหาในครั้งต่อไป และดูเหมือนว่าการทดลองครั้งนี้จะปรากฏผลชัดเจน เป็นคำตอบผ่านความรู้สึกที่เกิดขึ้นของสองสามีภรรยา

“ขอสรุปสั้น ๆ เลยว่า เรามีความสุขกับการใช้ชีวิตกึ่งอินดอร์กึ่งเอ๊าต์ดอร์แบบนี้ ทั้งสงบและสร้างแรงบันดาลใจให้กับงานของพวกเรา ลมธรรมชาติที่พัดผ่านตลอดทั้งวัน ช่วยให้เรายังสามารถนั่งทำงานได้สบาย ๆ แม้จะเป็นช่วงที่ร้อนที่สุดของวัน”