สองปีติดต่อกันมาแล้วที่ฉันได้ไปใช้เวลาช่วงวันหยุดปีใหม่ที่ หนูโจอาร์ตแอนด์ฟาร์ม ความเป็นอยู่ที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากนักในเวลานั้น
หนูโจอาร์ตแอนด์ฟาร์ม ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีเตาแก๊สไม่มีห้องนอน ทำให้เราต้องก่อฟืนทำอาหาร และกางเต็นท์นอนรอบกองไฟ ความไม่พรั่งพร้อมแบบนี้อาจไม่น่าเย้ายวนใจนัก แต่สำหรับฉันถือเป็นสิ่งมีค่า เพราะสอนให้เราเห็นคุณค่าที่แท้จริงของสรรพสิ่ง และค้นพบศักยภาพเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มีอยู่ในตัวเรา
คุณหนู – ภัทรพร อภิชิต และคุณโจ – วีรวุฒิ กังวานนวกุล ซื้อที่ดินขนาดห้าไร่สามงาน ในตำบลแพรกหนามแดง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ผืนนี้ไว้เมื่อหลายปีก่อน แล้วค่อย ๆ ก่อความฝันให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นทีละน้อย การสร้างสิ่งที่จะใช้เป็น “บ้าน” บนที่ดินว่างเปล่าอาจไม่ใช่เรื่องยากหากเราหว่านเม็ดเงินลงไป เขาและเธอไม่ได้เลือกหนทางนั้น หากเลือกทางที่ลำบากกว่าหลายเท่าตัวเพื่อสร้างทุกสิ่งทุกอย่างด้วยสองมือ ซึ่งต้องอาศัยกำลังกาย และใช้เวลายาวนานกว่ามาก
– แต่เราไม่ได้รีบร้อน –
หลังจากซื้อที่ดิน ทั้งคู่ต้องจากบ้านไปใช้ชีวิตในประเทศอินโดนีเซียและประเทศญี่ปุ่นนานกว่าหนึ่งปี เนื่องจากได้รับทุนปัญญาชนสาธารณะจากมูลนิธินิปปอน ความตั้งใจที่จะเรียนรู้วิถีชีวิตของผู้คนในชนบททำให้ทั้งคู่ตัดสินใจสมัครเป็นวูฟเฟอร์ (WWOOFer) ทำงานอาสาสมัครในฟาร์มต่าง ๆ เพื่อแลกกับการเข้าถึงชีวิตแท้ ๆ ของเกษตรกรชาวญี่ปุ่นซึ่งประสบการณ์คราวนั้นนอกจากจะได้นำมาเล่าไว้ในหนังสือ เราพบกัน เมื่อวันอาทิตย์อุทัยอันกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ใครต่อใครมากมายแล้ว ยังเป็นเสมือนบททดสอบของทั้งคู่เองด้วยว่า จะสามารถรับมือกับ “แผ่นดินของเรา” ที่รออยู่ได้หรือไม่ และอย่างไร
หนู : “ก่อนหน้านี้เราเป็นคนไม่อดทน ไม่เคยทำอะไรจริงจัง แต่พอมาอยู่ที่นี่ ตอนที่ค่อยๆทำงานไปทีละอย่าง มัเหนื่อยมาก แต่ความสุขก็เกิดขึ้นทันทีหลังจากทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งลุล่วงไป เอาจริง ๆ มันแค่เหนื่อยกาย พักแล้วก็หาย เมื่อเรานั่งมองงานต่าง ๆสำเร็จไปทีละขั้นเล็ก ๆ เราก็มีความสุขแล้ว ทุกงานมันสอนเรา เมื่อเราทำงานเหนื่อยเราจะพบว่าความสุขเกิดขึ้นง่ายมาก”
โจ : “พอมาได้สัมผัสงานเกษตรจริงจังก็เลยรู้ว่าคนรุ่นยายรุ่นแม่เขาลำบากกันมาขนาดไหนยิ่งทำก็ยิ่งค้นพบว่าเรายังรู้อะไรน้อย ยิ่งทำก็รู้สึกว่ายิ่งโง่ เพราะมีอะไรอีกหลายอย่างที่เรายังไม่รู้ ดิน น้ำ ลม ไฟ ทุกอย่างในธรรมชาติมีรายละเอียดมากมายเหลือเกิน”
หนู : “ใช่เลย งานบางอย่างต้องลงมือทำเองถึงจะรู้ ไม่สามารถเรียนรู้ได้จากคำบอกเล่า” โจ : “เราคิดไว้ตั้งแต่เด็กแล้วว่าอยากใช้ชีวิตอยู่บ้านนอก หลังจากเรียนจบได้ลองไปใช้ชีวิตทำงานในระบบแล้วรู้เลยว่ามันไม่ใช่ เราก็รีบเดินออกมา ไม่รอ”
หนู : “รู้สึกว่าชีวิตมีเวลาไม่มาก เพราะฉะนั้น ถ้าอยากทำอะไรก็ทำเถอะ ทำสิ่งที่เชื่อเราเชื่อว่า ถ้าได้กลับไปอยู่กับธรรมชาติ ได้ไปทำงานกลางแจ้ง ไม่ว่าใครก็จะมีความสุขแน่นอน เพราะคนก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ มันอาจจะต้องแลกด้วยความเหนื่อยกายซึ่งเรามักจะเข้าใจผิดกันว่า ความเหนื่อย ความลำบาก คือความทุกข์ และความสะดวกสบายคือความสุข แต่ความลำบากน่ะมันสอนเรา งานที่ดูเหมือนไม่มีค่าแบบนี้ละทำให้เราไร้ตัวตน ฉะนั้นถ้าใครคิดอยากจะกลับไปทำงานเกษตรนะ อยากให้กำลังใจทุกคนเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เรียนรู้สิ่งที่นอกเหนือไปจากความคุ้นเคย เพราะเวลาในชีวิตนั้นมันสั้นจริง ๆ”