“ป่านาคำหอม” พื้นที่อนุรักษ์ป่ากลางเมืองสกลนคร ที่หล่อเลี้ยงด้วยโมเดลธุรกิจอย่างบ้านพัก คาเฟ่ และพื้นที่เวิร์กชอป ชวนให้ผู้คนมาผ่อนเวลาให้ช้าลง ค้นหาความสงบและอยู่อาศัยในงานออกแบบที่แอบอิงอยู่กับธรรมชาติ
ณ มุมหนึ่งในซอยหนองแดงพัฒนา อำเภอเมืองฯ จังหวัดสกลนคร “ ป่านาคำหอม ” ตั้งอยู่บนที่ดินห่างจากถนนใหญ่เพียงเล็กน้อย พื้นที่ป่าและสวนเกษตรขนาด 43 ไร่ โดยซ่อนตัวอยู่หลังรั้วที่กลมกลืนไปกับบ้านพักอาศัยโดยรอบ ที่นี่มีเจ้าของคือคุณอิ๋ม – รติกร ตงศิริ ผู้ประกอบการที่ตั้งใจใช้พื้นที่ธุรกิจรูปแบบต่าง ๆ มาหล่อเลี้ยงและดูแลผืนป่าที่ตกทอดมาจากครอบครัว



นอกจากต้องการรักษาธรรมชาติของพื้นที่ป่าดิบแล้งอีสานขนาดใหญ่ที่หาได้ยากยิ่งในเขตเมืองแล้ว ยังอยากให้ที่นี่เป็นพื้นที่สำหรับการเรียนรู้ การเดินทางภายใน และการเฝ้ามองธรรมชาติภายนอก เพื่อฝึกฝนและพัฒนาธรรมชาติภายในจิตใจไปพร้อมกัน



ในพื้นที่ขนาด 43 ไร่ ของป่านาคำหอม ชื่อที่ตั้งตามนามปากกาเดิมของคุณพ่อ ถูกแบ่งออกเป็นหลายส่วน ได้แก่ พื้นที่ป่าดิบแล้งดั้งเดิมประมาณ 20 ไร่ ที่สงวนไว้โดยไม่แตะต้อง ต่อมาเป็นพื้นที่เกษตร ซึ่งมีพื้นที่ทำนาบนที่นาเดิมที่ทำมาอยู่ก่อนแล้ว กับพื้นที่ขุดสระ และพื้นที่เพาะปลูกผลไม้ต่าง ๆ เหลือจากนั้นอีกเพียงส่วนน้อย เป็นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ใช้ประโยชน์ของมนุษย์ ประกอบด้วยบ้านพักอาศัยของเจ้าของโครงการ และพื้นที่ธุรกิจที่เปิดให้คนนอกเข้ามาใช้บริการ ผสมผสานทั้งคาเฟ่ ที่พัก และพื้นที่กิจกรรมเพื่อการเรียนรู้เชิงจิตวิญญาณและธรรมชาติ ทุกอย่างผ่านการออกแบบอย่างถ่อมตน กลมกลืนไปกับบริบทของพื้นที่ หรือดังที่คุณธีรินทรา ศิริสวัสดิ์ หนึ่งในทีมออกแบบกล่าวไว้ว่า ต้องการให้สิ่งปลูกสร้างใหม่รบกวนธรรมชาติดั้งเดิมให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้




ออกแบบเพื่อการอยู่ร่วม
แนวคิดเริ่มต้นของการออกแบบอาคารต่าง ๆ ในโครงการนี้ มาจากการจัดสรรฟังก์ชันเชิงการบริการที่เจ้าของโครงการต้องการให้มีในพื้นที่ก่อน ได้แก่ พื้นที่คาเฟ่เพื่อรับขาจรที่จะเปิดให้แวะเวียนมาทุกวันเสาร์ – อาทิตย์ อาคารอเนกประสงค์สำหรับจัดกิจกรรมเวิร์กชอปตามแต่วาระโอกาสเหมาะสม และอาคารที่พัก 7 ห้อง ที่วางเรียงรายไปตามบ่อขุดและท้องนา โดยกำหนดตำแหน่งอาคารตามลำดับความเป็นสาธารณะ เริ่มจากคาเฟ่ซึ่งมีคนแวะเวียนหลากหลายอยู่ภายนอกสุด ถัดมาเป็นอาคารเอนกประสงค์รับคนเป็นครั้งคราวอยู่ในกึ่งกลาง และสุดท้ายคือที่พักตั้งลึกเข้าไปภายใน เพื่อให้ผู้มาเยือนได้รับความสงบและเป็นส่วนตัวมากที่สุด เข้าถึงได้เฉพาะด้วยการเดินเท้า
ตำแหน่งการวางอาคารทั้งหมดนี้ ยังถูกคิดให้แม้จะตั้งอยู่ใกล้ป่า แต่ก็ต้องอยู่ในระยะที่เหมาะสมไม่ให้ไปรบกวน หรือแตะต้องพื้นที่ป่าดั้งเดิม นอกจากนั้นยังเน้นการเลือกพื้นที่โล่งมาสร้างอาคารเพื่อลดการตัดต้นไม้ที่มีอยู่ก่อน อีกทั้งการวางอาคารก็ยังต้องสอดคล้องกับทิศทางน้ำตามธรรมชาติ ทั้งหมดเพื่อให้สิ่งปลูกสร้างใหม่ได้เชื่อมโยง เกื้อกูล และเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศป่าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้







รูปลักษณ์ของสถาปัตยกรรมที่ถ่อมตัว
นอกจากตำแหน่งที่ตั้งแล้ว รูปแบบของอาคารต่าง ๆ ก็เป็นอีกสิ่งที่สถาปนิกให้ความสำคัญไม่แพ้กัน โดยมีแนวคิดคือการทำอาคารให้เคารพต่อพื้นที่ให้มากที่สุด อันจะเป็นอาคารที่ไม่จำเป็นต้องมีเอกลักษณ์โดดเด่น แต่เน้นการออกแบบพื้นที่ใช้สอยให้อยู่สบาย สงบ และเป็นพื้นที่เรียบง่ายที่เน้นให้คนได้มาหยุดพัก ฟังเสียง และเฝ้ามองความเป็นไปของธรรมชาติโดยรอบได้โดยไม่ถูกกำหนดมุมมอง



จึงจะเห็นได้จากรูปแบบของแต่ละอาคารไม่ว่าจะเป็นคาเฟ่ อาคารอเนกประสงค์ หรือที่พักแต่ละห้อง ที่จะเน้นออกแบบให้เป็นอาคารไม่สูงใหญ่ไปกว่าป่า ยกเว้นอาคารอเนกประสงค์ที่จำเป็นต้องมีสองชั้นตามพื้นที่ใช้สอย ทั้งหมดออกแบบให้เป็นอาคารหลังคาจั่วชายคายื่นยาวเพื่อตอบสนองสภาพอากาศ ใช้วัสดุและระบบโครงสร้างเป็นคอนกรีตและเหล็ก ที่ยกระดับพื้นขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงความชื้นและเอื้อให้น้ำสามารถไหลผ่านได้ นอกจากนั้นสัดส่วนของแต่ละอาคารยังกำหนดจากสิ่งที่มีอยู่เดิม ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ เนินดิน รวมไปถึงวัสดุอย่างประตูหน้าต่างเก่าที่คุณพ่อเจ้าของโครงการเก็บสะสมไว้ ก็ได้ถูกนำออกมาใช้เป็นองค์ประกอบหลักแล้ว จึงกำหนดสัดส่วนของช่องเปิดต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสิ่งเดิมที่มี ทั้งหมดก็เพื่อทำให้อาคารสร้างใหม่ที่เป็นดังสิ่งแปลกปลอม ผสานตัวเองเข้ากับที่ตั้งอย่างเรียบง่าย และให้แสดงออกซึ่งเอกลักษณ์บางอย่างเท่าที่ควรจะเป็น



เน้นการอยู่อย่างยั่งยืน
นอกจากบานหน้าต่างและประตูเก่าที่ปรากฏให้เห็นชัดเจน ที่นี่ก็ยังแฝงการใช้ไม้เก่าที่เก็บสะสมไว้มาใช้ในอีกหลาย ๆ ส่วน ไม่ว่าจะเป็นในส่วนคาเฟ่อันเป็นดังพื้นที่รับแขกหน้าบ้าน ซึ่งต้องการให้เป็นพื้นที่แรกสุดที่คนได้เปลี่ยนบรรยากาศสู่ความสงบและสบาย และต่อเนื่องมาถึงส่วนระเบียงของห้องพัก ก็เน้นการใช้ไม้เพราะต้องการให้เป็นพื้นที่สงบอบอุ่น สำหรับผู้เข้าพักได้ออกมาเสพบรรยากาศภายนอก
การใช้ไม้เก่ายังเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแนวคิดการมุ่งสู่ความยั่งยืนของโครงการ เพราะนอกจากนั้นแล้ว ทุก ๆ อาคารก็ยังเน้นการออกแบบให้เปิดรับแสงและลมธรรมชาติ ลดการใช้ไฟฟ้าและเครื่องปรับอากาศ ไม่ว่าจะเป็นส่วนคาเฟ่ที่ออกแบบให้เป็นเพียงอาคารขนาดเล็กที่เน้นเปิดโล่งให้เชื่อมต่อกับพื้นที่นั่งเอาต์ดอร์ เฉกเช่นเดียวกับอาคารอเนกประสงค์และส่วนที่พัก เน้นช่องเปิดและระเบียงให้มีขนาดใหญ่ เชื่อมต่อกับสภาพแวดล้อมด้วยการเปิดประตูและหน้าต่างออกรับแสงและลมที่จะไหลเวียนผ่านได้ในวันที่อากาศเย็นสบาย
ที่สำคัญคือการยอมรับข้อจำกัดเรื่องความชื้นและแมลงทั้งหลาย โดยการใช้องค์ประกอบต่าง ๆ อย่างการยกพื้นอาคารให้สูงจากดินเล็กน้อยเพื่อหลบน้ำ หรือการเปิดอาคารให้โปร่งไม่ให้เก็บความชื้นเพราะอยู่ใกล้ป่า ไปจนถึงการติดมุ้งลวด หรือการออกแบบและแก้ปัญหามดและแมลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ในจุดต่าง ๆ ทั้งหมดสะท้อนแนวคิดการออกแบบที่พยายามเป็นหนึ่งเดียวกับสภาพแวดล้อมแบบป่า หรือในอีกมุมหนึ่งก็คือเป็นการออกแบบเพื่อเน้นการปรับตัวมากกว่าการบังคับควบคุม และเป็นความตั้งใจในการนำเสนอแนวคิดของการสร้างความเข้าใจในธรรมชาติ เพื่อการอยู่อาศัยที่เกื้อกูลและเป็นมิตรต่อกันนั่นเอง
ที่ตั้ง
240/7 ชุมชนหนองแดง ซอยท่านขุน 1 ถนนรัฐบำรุง ตำบลธาตุเชิงชุม อำเภอเมืองฯ จังหวัดสกลนคร
คาเฟ่เปิดเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์
เวลา 10.00-16.00 น.
ที่พักเปิดบริการทุกวัน
(จองล่วงหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง)
ออกแบบ: คุณธีรินทรา ศิริสวัสดิ์ และคุณอารยา เลิศมหาวงศ์
เรื่อง: กรกฎา
ภาพ: อภินัยน์ ทรรศโนภาส, กรานต์ชนก บุญบำรุง
The Indigo Loom House ผสานบ้านและกี่ทอผ้า สู่สถาปัตยกรรมที่สืบสานวิถีชุมชน
