หมวกลายฮาวาย เเละเสื้อลายปักรูปดอกไม้สีสันสดใสสุดประณีต คือสองไอเท็มที่เกิดจากการมิกซ์เเอนด์เเมทช์วัสดุเเละเทคนิคการสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ จนเกิดเป็นผลงานเเฟชั่นที่น่าสนใจ เเถมส่วนหนึ่งยังเป็นการช่วยสะท้อนให้เห็นถึงตัวตนเเละไลฟ์สไตล์การแต่งตัวของผู้ออกแบบอย่าง คุณเบนซ์-ปัณณรุจน์ เนติพีระพงศ์ ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ และผู้ก่อตั้งแบรนด์แฟชั่นเลือดไทยนาม PALINI และคู่คิดร่วมชีวิต คุณอุ๋ย-นภาวรรณ พิมวัน ได้อย่างชัดเจน
ภาพจำแรกของแบรนด์ PALINI คือ การนำเสื้อฮาวายสไตล์วินเทจมาตัดเย็บผสมผสานกันจนกลายเป็นหมวกหนึ่งใบใส่ได้สองด้าน ปัจจุบันคุณเบนซ์และคุณอุ๋ยยังคงร่วมกันผลักดันแบรนด์แฟชั่นไทยแบรนด์นี้ให้ก้าวเดินไปอย่างมั่นคง ทั้งในเชิงธุรกิจและคาแร็กเตอร์ของแบรนด์ซึ่งก่อตั้งขึ้นบนเหตุผลที่เรียบง่าย อย่างที่คุณเบนซ์เล่าว่า เขาอยากทำอะไรเป็นของตัวเอง หลังจากลาออกจากงานประจำ
- จากสไตลิสต์สู่เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าและแอ๊กเซสซอรี่ส์
“ก่อนหน้านี้ผมทำงานเกี่ยวกับนิตยสารแฟชั่นมาก่อน โดยทำตำเเหน่งสไตลิสต์เเละคอลัมนิสต์ จนวันหนึ่งเราเกิดความคิดว่าอยากทำอะไรเป็นของตัวเองขึ้นมา จึงตัดสินใจลาออก แล้วเริ่มจากการหยิบจับสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว เเละสำรวจตัวเองว่าเราสนใจอะไรอยู่
“จริง ๆ ภาพลักษณ์ที่คนข้างนอกมองมา เขาจะเห็นเราเป็นผู้ชายตัวเล็ก ๆ ชอบใส่หมวก ชอบแต่งตัวสวมเสื้อฮาวายตลอดเวลา และสนใจเรื่องของครามไทย ผมเลยหยิบ 3 แฟ็กเตอร์ที่ใกล้ตัวที่สุดมาอเเด็ปเป็นโปรดักต์ ก่อนจะเริ่มต้นทำแบรนด์ตอนนั้นจริง ๆ ไม่ได้คิดว่าจะทำแบรนด์ให้เป็นแฟชั่น หรือมีการต่อยอดแบรนด์เสื้อผ้า เราเเค่อยากให้เป็นไลฟ์สไตล์แบรนด์ แต่บันไดขั้นแรกที่ต้องไปคือแฟชั่นก่อน เพราะคิดว่ามีสกิลที่ใกล้เคียง แต่ไม่ได้บอกว่าผมถนัด หรือเป็นผู้เชี่ยวชาญนะ แต่เป็นจุดที่ผมสนใจแล้วต่อยอดไปเรื่อย ๆ ”
- แฟชั่นคือโลกไร้พรหมแดน
“เรื่องของดีไซน์คอนเซ็ปต์ เราหยิบยกเรื่องการผสมผสานวัฒนธรรมต่างถิ่น หรือต่างกันคนละซีกโลกมามิกซ์แอนด์เเมทช์เข้าด้วยกันให้เป็นเอกภาพเเละอยู่ในผลงานชิ้นเดียว ผลงานชิ้นแรกที่ผมทำคือ หมวกฮาวาย ซึ่งเป็นการนำผ้าครามงานหัตถกรรมของเอเชีย และผ้าจากเสื้ออโลฮาวินเทจของยุโรปมาผสมลงไปให้อยู่บนหมวกใบเดียวกัน จริง ๆ เราพยายามนำเสนอเรื่องนี้มาตลอด อย่างการนำงานดีไซน์สไตล์ญี่ปุ่นมาจับคู่กับผ้าทอของไทย หรือเเม้เเต่หมวกทรงยุโรปก็พยายามนำเสนอให้เห็นเท็กซ์เจอร์ของผ้าไทยซึ่งมีเอกลักษณ์เเละมีความสวยงามไม่เหมือนใคร”
- ก้าวข้ามความถนัด และการสลับบทบาทหน้าที่
PALINI วางโครงสร้างของแบรนด์ไว้ว่าในแต่ละปี หรือหลังจากนี้ 3-4 ปีข้างหน้าจะเดินไปในทิศทางไหน ซึ่งคุณเบนซ์มองว่าเป็นเรื่องของความโชคดีที่แบรนด์ของเขาเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้มีการพัฒนาจุดด้อยของทีม และเพิ่มจำนวนสมาชิกในทีมเพื่อรองรับการเติบโตควบคู่กัน ล่าสุดนอกจากเจ้าของเเบรนด์ทั้งคู่แล้วยังมีทีมงานอีกสองชีวิตเข้ามาช่วยอีกแรง และนั่นทำให้ภาพรวมของแบรนด์ รวมถึงบทบาทหน้าที่ของแต่ละคนมีความชัดเจนยิ่งขึ้น
“จากเมื่อก่อนที่ไม่รู้ว่าเเต่ละคนถนัดอะไร เเต่พอทำงานไปเรื่อย ๆ เราเริ่มสังเกตว่าแต่ละคนมีความถนัดไม่เหมือนกัน” คุณเบนซ์ อธิบาย “จากเดิมที่ผมคิดว่าตัวเองถนัดงานดีไซน์ และอุ๋ยน่าจะถนัดเรื่องการวางโครงสร้าง ดูเรื่องการตลาด แต่พอทำงานไปเรื่อย ๆ กลายเป็นว่าเราสลับหน้าที่กัน โชคดีที่มีโอกาสในการได้ทดลองจึงทำให้ทราบว่าเรามีความถนัดในเรื่องอะไร หรือแม้แต่ทีมงานซึ่งเป็นน้อง ๆ ที่รู้จักกัน ตอนเเรกเเต่ละคนจะมีสกิลติดตัวมาไม่เหมือนกัน เเต่เมื่อได้ทำงานด้วยกัน เเต่ละคนจะนำความถนัดของตนเองมาช่วยเติมเต็มการทำงานบางด้านของกันเเละกัน เเละจากความชอบบางอย่างในเวลานี้ มันอาจก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ให้เเก่วิถีข้างหน้าต่อไปได้เหมือนกัน”
“ส่วนปัญหาที่เราพบในการทำงานนั้นมันมีมาเรื่อย ๆ มีมาทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเข้าใจผิดกับลูกค้า การล่าช้าของโรงงาน หรือกับช่างตัดเสื้อผ้าที่เข้าใจผิด” คุณอุ๋ย กล่าวเสริม “เราคิดว่าปัญหาทำให้เราได้เรียนรู้ และพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีก ยิ่งมีปัญหาเยอะ ยิ่งทำให้เราพัฒนาได้มากขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ เพราะเราได้เห็นจุดด้อยของตัวเอง”
เอกลักษณ์ของ PALINI คือ การผสมผสานเชิงเทคนิคระหว่างงานหัตถกรรมกับการผลิตในระบบโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงการนำเสนอให้เห็นความละเอียดประณีตของเท็กซ์เจอร์ผ้าไทย ซึ่งมีเรื่องราวที่มาที่เเตกต่างกัน
- ROOM X SOL OUT COLLABORATIVE COLLECTIONS
room ได้ชักชวนคุณเบนซ์และคุณอุ๋ย มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในก้าวสำคัญของการยกระดับวงการผ้าไทย ด้วยการนำผ้าเอ๊าต์ดอร์ที่มีการผลิตเส้นใยเเละการถักทอครบทุกกระบวนการขึ้นในประเทศเป็นครั้งเเรกเเละเป็นเจ้าเเรกของไทย ภายใต้แบรนด์ SOL OUT ในเครือ Gold House Decor ที่เราคุ้นเคยและรู้จักกันดี มาพัฒนา สร้างสรรค์ และผสมผสานกับความถนัดของตนเองออกมาเป็นหมวก และเสื้อคลุมที่สามารถใส่คลุมทับชุดว่ายน้ำ สวมใส่สบาย เดินชายหาดก็ได้ ใส่ในชีวิตประจำวันก็ดี
ความพิเศษของเนื้อผ้าเอ๊าต์ดอร์ที่ผลิตขึ้นนั้นคือ คุณสมบัติของเส้นด้ายที่เรียกว่า Solution-dyed Acrylic ซึ่งมีความทนทานต่อแสงแดด และความเค็มจากน้ำทะเล อีกทั้งให้สีสันสดใสยาวนาน การันตีคุณภาพการใช้งานอย่างน้อย 5 ปี ที่สำคัญยังสามารถดูแลรักษาง่าย เพียงใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดคราบสกปรกออกเบา ๆ
“เราไม่เคยใช้ผ้าเอ๊าต์ดอร์แบบนี้มาก่อน” คุณอุ๋ย ยอมรับ “ส่วนใหญ่เราเลือกใช้ผ้าไทยอย่าง ผ้าฝ้าย ผ้าเยื่อไผ่ ตามคอนเซ็ปต์การเน้นใช้ผ้าพื้นเมือง เพราะรู้สึกว่าผ้าไทยมีเอกลักษณ์ มีเรื่องราวความเป็นมาที่เเตกต่างกันในเเต่ละท้องถิ่น เเถมยังมีเทคนิคการถักทอและย้อมที่ละเอียดประณีต เลยชอบที่จะนำมาใช้ในการผลิตผลงาน เเต่พอได้ผ้าของ SOL OUT มา ซึ่งเป็นผ้าที่ไม่เคยเจอมาก่อน เเละไม่มีความรู้ว่าจะนำผ้าชนิดนี้มาประยุกต์ใช้กับโปรดักต์ของเราอย่างไร จึงถือเป็นมิติใหม่ในการทำงานเหมือนกัน พอได้คอนเซ็ปต์มา เราคิดได้อย่างรวดเร็วเลยว่าจะนำมาทำหมวก ส่วนผ้าที่นำมาออกแบบเสื้อ โดยได้เพิ่มความพิเศษด้วยการใส่งานปักลงไป
“งานปักที่ใช้บนผ้า เราเลือกลายดอกไม้ ซึ่งอิงมาจากคอลเล็กชั่นแรก ด้วยการนำลายปักดอกไม้มาผสมกับผ้าพื้นที่เป็นสีขาว เพราะอยากให้เสื้อดูสดใสเข้ากับฤดูร้อน โดยเลือกลายที่ให้ความรู้สึกสดชื่น มีองค์ประกอบดูน่ารัก
“สำหรับการทำงานครั้งนี้ เราค่อนข้างใช้เวลาในการทำงานมากกว่าเดิม เนื่องจากมีงานปักที่ละเอียดอ่อน ซึ่งปักด้วยมือทุกขั้นตอน ปกติงานปักของเราจะใช้เครื่องจักร แต่ครั้งนี้เราอยากให้ผลงานนี้มีความพิเศษจริง ๆ เเม้จะใช้เวลานานเเต่ก็คุ้มค่ากับผลลัพธ์ที่ออกมา ส่วนการเลือกออกเเบบทรงเสื้อผ้าก็เป็นแบบที่เราไม่เคยทำมาก่อน เเละหมวกก็เป็นทรงที่คิดขึ้นมาใหม่สำหรับโปรเจ็กต์นี้โดยเฉพาะ ”
ชมภาพแฟชั่นสวย ๆ ในโปรเจ็กต์พิเศษ ‘room X SOL OUT Collaborative Collections’ (ที่นี่) ก่อนไปชมผลงานจริงในบู๊ธกิจกรรม room showcase ที่งาน บ้านและสวนแฟร์ Midyear 2019 “Hand & Heart” วันที่ 3 – 11 สิงหาคม 2562 นี้ ที่ไบเทค บางนา ฮอลล์ 98 – 104
ROOM X SOL OUT COLLABORATIVE COLLECTIONS
เรื่อง: ND24
ภาพ: นันทิยา, ณัฐพงศ์ กิตติวรพงษ์กิจ, วงศกร จิรชัยสุทธิกุล, นวภัทร
