Gump's Cross รีโนเวตตึกแถว 5 คูหา สู่คอมมูนิตี้สเปซริมถนนเจริญนคร

Gump’s Cross รีโนเวตตึกแถวเก่า 5 คูหา สู่คอมมูนิตี้สเปซริมถนนเจริญนคร

จากโครงการแรก Gump’s Ari ย่านอารีย์ สู่ Gump’s Cross คอมมูนิตี้สเปซที่ผสมผสานพื้นที่ร้านค้า คาเฟ่ ศิลปะ และไลฟ์สไตล์เข้าด้วยกัน บนตึกแถว 5 คูหา ริมถนนเจริญนคร

DESIGNER DIRECTORY
ออกแบบ: EKAR

Gump’s Cross เป็นโครงการคอมมูนิตี้สเปซแห่งที่ 2 ของ Gump แบรนด์ที่มุ่งพัฒนาไลฟ์สไตล์มอลล์กึ่งพื้นที่สาธารณะให้มีเอกลักษณ์และเชื่อมโยงกับคนที่มาใช้งาน ฉีกกรอบพื้นที่ที่ไม่จำเป็นต้องอยู่แต่ในห้อง แต่ให้ลูกค้าสามารถออกมาใช้พื้นที่ภายนอกได้ อีกทั้งยังเน้นออกแบบมุมสวย ๆ ให้เกิดภาพจำที่ไม่จำเจ

อาคารพาณิชย์ขนาด 5 คูหา สูง 5 ชั้น ริมถนนเจริญนครที่ทิ้งร้างมานานหลายปี
ฟาซาดด้านหน้าอาคาร สถาปนิกออกแบบให้คนยังสัมผัสว่าที่นี่เป็นอาคารพาณิชย์ โดยยื่นฟาซาดด้านหน้าออกไปเพิ่มมิติ ใช้กระจกใสเพื่อดึงแสงสว่างเข้าอาคาร เปิดช่องโล่งเจาะทะลุเปิดให้ลมเข้าสู่ภายใน

จากโครงการแรก Gump’s Ari ย่านอารีย์ ที่ได้รับความนิยมอย่างมากบนโลกโซเชียลจากดีไซน์ที่ตรงใจคนรุ่นใหม่ มีพื้นที่ให้คนได้มากินดื่มและเป็นแลนด์มาร์กให้มาเช็คอิน คราวนี้กลับมาอีกครั้งกับโครงการแห่งที่ 2 ในชื่อ GUMP’s Cross ด้วยการรีโนเวตตึกแถวเก่า 5 คูหา ริมถนนของย่านเจริญนครให้กลับมามีชีวิต และตอบโจทย์การใช้งานในยุคปัจจุบันมากขึ้น

เปลี่ยนแปลงอาคารเก่าเพื่อเชื่อมโยงบริบท

โครงการ Gump’s Cross เริ่มต้นจากเจ้าของที่ดินที่มีอาคารพาณิชย์ขนาด 5 คูหา สูง 5 ชั้น ริมถนนเจริญนครที่ทิ้งร้างมานานหลายปี ก่อนหน้านี้อาคารนี้เคยปล่อยให้เช่าเป็นโชว์รูมรถยนต์ แต่เมื่อหมดสัญญาเช่าก็ไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์อีก เจ้าของจึงตัดสินใจหาวิธีเพิ่มมูลค่าของอาคารเดิมโดยไม่ทุบทิ้ง และเลือกเปลี่ยนแปลงให้เป็นพื้นที่เช่าเพื่อสร้างรายได้ระยะยาว ด้วยการร่วมมือกับ Gump ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ทำธุรกิจคาเฟ่และไลฟ์สไตล์มอลล์ เป็นผู้มาช่วยพัฒนาและรีโนเวตให้สถานที่แห่งนี้เหมาะกับการใช้งานในยุคปัจจุบัน

จากเดิมที่ภายในทึบตัน สถาปนิกเลือกเปิดผนังให้โล่ง ช่วยให้ภายในเกิดสเปซแบบกึ่งเอาต์ดอร์ ได้รับทั้งแสง ลม เสียง เชื่อมบรรยากาศข้างในและข้างนอกเข้าด้วยกัน

เอกภาพ ดวงแก้ว สถาปนิกผู้ออกแบบจาก EKAR ได้เริ่มต้นด้วยการสำรวจตัวอาคารและทำเลโดยรอบ พบว่าอาคารตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยาและชุมชนริมแม่น้ำ จึงมองเห็นถึงความสำคัญของการเชื่อมโยงบริบทพื้นที่สองฝั่งผ่านสายน้ำเข้าหากัน จึงเกิดเป็นสู่คอนเซ็ปต์ “Cross” หมายถึงการเชื่อมโยงวิถีชีวิตสองฟากฝั่งแม่น้ำรวมถึงบริบทและชุมชนที่อยู่รอบ ๆ จากนั้นจึงตั้งต้นออกแบบโครงการนี้ให้มีลักษณะเป็นพื้นที่ที่เปิดกว้างและเชื่อมโยงผู้คนเข้าหากันได้ง่าย ด้วยการเปิดสเปซออกสู่พื้นที่ภายนอก ให้พื้นที่อาคารมีความเป็นกึ่งเอาต์ดอร์ เพื่อให้ผู้มาใช้งานรู้สึกได้เป็นส่วนหนึ่งกับสภาพแวดล้อมเน้นการเปิดรับแสงและลมจากภายนอกแม้เข้ามาใช้งานภายในอาคารแล้วก็ยังสามารถมองเห็นกิจกรรมต่าง ๆ ของบริบทรอบ ๆ ได้

บันไดสำหรับขึ้นแต่ละชั้นอยู่ฝั่งด้านหลังอาคาร ออกแบบให้ยื่นออกไปยังพื้นที่ด้านหลัง เพื่อให้เกิดช่องว่างที่นำพาแส่งเข้าสู่ด้านในได้อีกทางหนึ่ง จากเดิมที่เป็นผนังทึบ

พาอาคารข้ามการใช้งานสู่ยุคใหม่

อาคารหลังนี้เป็นอาคารพาณิชย์ในยุคราว 30 ปีก่อน เดิมออกแบบมาเพื่อรองรับกิจกรรมทางการค้าและการอยู่อาศัย โดยส่วนใหญ่มักถูกใช้งานให้เป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่ชั้นล่าง ส่วนชั้นบนใช้เป็นที่พักอาศัย ด้วยลักษณะของอาคารสูงแต่ลึกจึงมักมีปัญหาเรื่องความปิดทึบ มีช่องแสงเฉพาะด้านหน้า และด้านหลังเล็ก ๆ เท่านั้น ทำให้ภายในตรงกลางอาคารมืดทึบเกือบตลอดเวลา จากรูปแบบอาคารเช่นนี้ จึงทำให้อาคารไม่ตอบโจทย์ ทั้งการเป็นที่อยู่อาศัย หรือค้าขายในปัจจุบัน จึงถูกทิ้งร้างมายาวนานและได้กลายเป็นโจทย์สำคัญแรก ๆ ของสถาปนิกในการออกแบบว่าจะฟื้นชีวิตให้อาคารกลับมามีชีวิตได้อีกครั้งอย่างไร

จากมุมสูงที่ด้านหลังอาคาร จะมองเห็นพื้นที่โล่งด้านหลังที่เว้นไว้สำหรับจัดกิจกรรมแบบเอาต์ดอร์ ที่มองเห็นต้นไม้ใหญ่จากพื้นที่รอบข้าง เป็นสเปซที่ไม่ใหญ่นักแต่ก็พอดีกับการจัดอีเว๊นต์ขนาดย่อม ๆ ได้อย่างอบอุ่น
บันไดโค้งของอาคารกลายเป็นจุดเด่นที่ได้รับความนิยม และเมื่อมีอีเวนต์ หรือคอนเสิร์ตที่ลานด้านหลัง พื้นที่บนบันไดจะกลายเป็นอัฒจรรย์สำหรับยืนชมทำให้พื้นที่นั้นมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที

สถาปนิกมีแนวคิดการออกแบบหลัก ๆ เพื่อแก้ปัญหาของตึกด้วยการใช้เส้นทางสัญจร หรือ Circulation เป็นเครื่องมือสำคัญ โดยเน้นการวางเส้นทางการเดินของคนให้ค่อย ๆ เข้าไปสู่ภายในจนถึงชั้นบนสุด การออกแบบเริ่มต้นจากการทำบันไดใหม่เชื่อมต่อให้คนเดินจากทางเข้าขึ้นไปชั้น 2 ได้ทันที โดยไม่ต้องผ่านเข้าไปในอาคารก่อน จากนั้นได้ออกแบบบันไดสำหรับขึ้นแต่ละชั้น ให้ยื่นออกไปยังนอกตัวอาคารที่ด้านหลัง เพื่อให้เกิดช่องว่างนำพาแสงเข้าสู่ด้านในได้อีกทางอีกทั้งรูปทรงของบันไดที่มีความโค้งยังกลายเป็นภาพจำหนึ่งที่คนชื่นชอบ เวลามีอีเวนต์ หรืองานคอนเสิร์ตที่ลานด้านหลังบริเวณชั้น 1 พื้นที่บนบันไดนี้จะกลายเป็นเหมือนกับอัฒจรรย์สำหรับยืนดูงานแสดง ทำให้พื้นที่นี้มีชีวิตขึ้นมาไปโดยปริยาย

แก้ปัญหาอาคารด้วยการออกแบบ

เน้นแก้ปัญหาเรื่องแสงสว่างเป็นสำคัญ ด้วยการทุบทลายผนังทึบด้านหน้าของเดิมให้เป็นช่องโล่งเพื่อเพิ่มแสงสว่างให้ทั่ว แล้วใช้วัสดุที่เปิดรับแสงสว่างได้มากขึ้นอย่าง กระจกใส และบล็อกแก้วที่นำมากรุโดยรอบ สอดคล้องกับการใช้สีของอาคารที่สถาปนิกเลือกใช้เป็นสีขาวเพื่อเพิ่มความสว่าง โปร่ง และดึงดูดสายตาแต่แรกเห็น

นอกจากนั้น สถาปนิกยังออกแบบฟาซาดด้านหน้าอาคารโดยยังคงความรู้สึกของอาคารพาณิชย์เดิม สอดคล้องกับภายในที่ก็ยังคงองค์ประกอบของเอกลักษณ์อาคารเดิมไว้ เช่น คานที่โผล่ลอยออกมา ฝ้าเพดานบางชั้นที่สูง-ต่ำไม่เท่ากัน ในขณะเดียวกัน ฟาซาดก็ยังคงเอกลักษณ์ของกรอบโครงสร้างเดิมไว้ แต่ใช้กล่องกระจกโค้งมนกรุเข้าไป ทำให้เกิดการยื่นด้านหน้าออกไปช่วยเพิ่มมิติ แล้วใช้กระจกใสเพื่อดึงแสงสว่างเข้าอาคาร และยังทำให้มองเห็นแต่ละร้านได้ชัดเจนตั้งแต่ภายนอกด้วย

Gump’s Cross เป็นตัวอย่างการตั้งคำถามกับอาคารเดิมอันเป็นทรัพย์สินของครอบครัวว่าจะแปรเปลี่ยนเป็นอะไรได้บ้าง อันจะเป็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้คนในยุคสมัยนี้ โดยอาคารนี้เก่าที่ปัจจุบันไม่สอดรับไลฟ์สไตล์ของคนที่เปลี่ยนไป แต่กลับมีมากมายกระจายอยู่เต็มเมือง ควรค่าแก่การพิจารณานำทรัพยากรเดิมมาใช้ใหม่ให้คุ้มค่า การทำงานร่วมกันระหว่างผู้พัฒนาโครงการ เจ้าของอาคาร สถาปนิก และวิศวกรผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขานำพามาซึ่งผลลัพธ์ที่สดใหม่ ดังเช่นตัวอย่างจาก Gump’s Cross แห่งนี้นั่นเอง

ที่ตั้ง
1351/1-5 ถนนเจริญนคร แขวงบางลำพูล่าง เขตคลองสาน กรุงเทพฯ
พิกัด https://maps.app.goo.gl/L5NH1kWJTkFn2YQz6
เปิดทุกวัน 9.00 – 22.00 น.
โทร. 09-0989-3953

ออกแบบ: EKAR

เรื่อง: Natthawat Klaysuban
ภาพ: Rungkit Charoenwat


THE SAYLA HOTEL โรงแรมเชียงใหม่ ย่านนิมมานฯ โดดเด่นด้วยอาคารอิฐตัวแทนดังขุนเขา