HOME IS WHERE THE HEART IS : บ้านสไตล์ยุโรป ของนักสะสม

/ เฟอร์นิเจอร์ในบ้านหลังนี้ไม่ใช่แค่เดินทางไปซื้อแล้วขนกลับ
แต่สิ่งที่เราได้มากกว่านั้นคือความทรงจําที่ย้ำเตือนถึงสถานที่ ช่วงเวลา ความรู้สึก และผู้คนที่เราอยู่ด้วยตอนพบเจอ /

ความน่าอยู่ของบ้านแต่ละหลังในนิยามของแต่ละคนอาจแตกต่างกันไปบ้างขึ้นอยู่กับขนาดและสไตล์ แต่สําหรับ คุณเฟิร์น – เกศชนก จีระวัฒนา ธาดาสีห์ ดีไซเนอร์สาว เจ้าของคาเฟ่ Azure เขาใหญ่ และ Featherstone Café Bistro & Lifestyle Shop เอกมัย กลับค้นพบว่า บ้านที่น่าอยู่ขึ้นอยู่กับสิ่งของที่เธอรักและมีความทรงจําที่ดีด้วย

“ตอนทําบ้านหลังนี้เรานึกถึงคําว่า home is where the heart is อยากให้ที่นี่ล้อมรอบไปด้วยของที่เรารัก ของที่เป็นที่มาแห่งความทรงจําที่ดีและสะท้อนถึงตัวตนเราจริงๆ เวลาทํางานเหนื่อยๆ พอมีเวลาพักเราก็จะมาใช้เวลาอยู่ที่บ้านเขาใหญ่ในโครงการ The Eyrie หลังนี้ เนื่องจากติดใจในความเงียบสงบวิวของทิวเขา และงานสถาปัตยกรรมแบบยุโรป”

เพราะเป็นคนชอบเก็บเล็กผสมน้อยมาตั้งแต่เด็ก ๆ เธอจึงไม่ลืมหยิบข้าวของในความทรงจําเหล่านั้นมาไว้ในบ้านพักส่วนตัว โดยใช้จินตนาการที่สั่งสมจากประสบการณ์มาเป็นตัวกำหนดทิศทางในการออกแบบตกแต่ง สอดแทรกกลิ่นอายฝรั่งเศสเพื่อให้เข้ากับเฟอร์นิเจอร์แอนทีคซึ่งส่วนใหญ่ข้ามน้ําข้ามทะเลมาจากทวีปยุโรป

ความน่าสนใจของ บ้านสไตล์ยุโรป ขนาด 4 ชั้นหลังนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ก้าวผ่านประตูเข้ามายังบริเวณชั้น 3 แทนที่จะเป็นชั้นล่างสุดแบบบ้านทั่วไป นี่จึงเป็นความแปลกท่ีมาพร้อมความพิเศษกว่าใคร เพราะเจ้าของบ้านสามารถมองเห็นวิวภูเขาโดยรอบได้แบบพานอรามา โดยไม่มีสิ่งปลูกสร้างใด ๆ มาบดบังสายตา เนื่องจากตัวบ้านตั้งอยู่บนทําเลที่ค่อนข้างสูงที่สุดในโครงการ

“เราติดใจวิวภูเขาของที่นี่ บ้านนี้จึงตั้งอยู่บนทําเลที่ค่อนข้างจะสูงหน่อย เพื่อจะได้มองเห็นธรรมชาติรอบตัวได้แบบเต็มตา ช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายเหมือนได้ชาร์จพลังชีวิตจริง ๆ”

ที่บริเวณชั้น 3 ประกอบไปด้วยห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหาร และครัวแพนทรี่ ให้ความรู้สึกอบอุ่น อ่อนหวานด้วยโทนสีขาว – ครีม ผสมผสานกับของตกแต่งสไตล์วินเทจ เฟอร์นิเจอร์แอนทีค และเฟอร์นิเจอร์ใหม่บางส่วน ถัดลงไปอีกชั้นเป็นห้องรับรองสําหรับเพื่อน ๆ และ ญาติ มีทั้งหมด 3 ห้อง จัดวางเตียงเหล็กดัดเส้นสายอ่อนช้อย คู่กับผนังอิฐเท่ ๆ ก่อนเบรกความเฟมินีนด้วยคาแร็คเตอร์แบบฉบับหนุ่มผู้ดีอังกฤษช่วงศตวรรษที่ 18 ที่บริเวณชั้นล่างสุด

“ที่ชั้น 1 จริงๆ ตอนเดินเข้าไปครั้งแรก เรานึกถึงห้องใต้ดินใน Boutique Hotel ของฝรั่งที่เขามักจะมีเล้าจ์หรือบาร์เล็ก ๆ แอบซ่อนอยู่ เราติดใจบรรยากาศแบบนั้นจึงหยิบไอเดียมาทําบ้าง และด้วยความที่เกือบทุกชั้นค่อนข้างจะออกแนวเฟมินีน จึงอยากสร้างพื้นที่ตรงนี้ให้เกิดความรู้สึกเท่ ๆ เอาใจคุณสามี (คุณวิภวิน ธาดาสีห์) โดยเลือกใช้ผนังสี Hunter Green Mix กับการก่อผนังอิฐ ตกแต่งโดยเลือกใช้โซฟาเชสเตอร์ฟีลด์หนัง อิตาลีสี Wash Off ให้ความรู้สึกเหมือน Old English Gentlemen’s Club”

คุณเฟิร์นเล่าว่า บ้านหลังนี้ค่อนข้างพอดิบพอดีกับช่วงชีวิตตอนนี้ เพราะถือเป็นช่วงที่เธอกําลังมีไฟในการทําสิ่งต่าง ๆ เมื่อทํางานอะไรก็ต้องทําให้สุด เมื่อถึงเวลาพักผ่อน ก็ต้องพักให้เต็มที่เพื่อเติมพลังงาน เธอมักใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทํากิจกรรมที่สร้างความเพลิดเพลินหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการวาดรูป อ่านหนังสือ ฟังเพลง และเล่น เปียโนไม้วอลนัทยุคปี ค.ศ. 1920 ตัวโปรดที่ตั้งอยู่บริเวณ ชั้น 4 ซึ่งมีลักษณะเป็นห้องที่มีเพดานสูงโปร่งเหมือนหอคอยปราสาท และยังเปรียบเสมือน Cabinet of Curiosities หรือห้องเก็บสะสมส่ิงของเกี่ยวกับธรรมชาติวิทยาต่างๆ ที่ แฝงไปด้วยเรื่องราวน่าค้นหา

“เราเป็นคนที่ชอบเก็บเล็กผสมน้อยต้ังแต่เด็กๆ ของที่มีความทรงจําของเราทุกชิ้นจะได้รับการเก็บไว้อย่างดี และแฝงตัวอยู่ในมุมต่าง ๆ ของบ้าน บวกกับมีแพสชั่นที่สื่อถึงธรรมชาติ เช่น ผีเสื้อ แมลง และดอกไม้เป็นทุนเดิม เมื่อเวลาผ่านไปก็เริ่มสะสมมากข้ึน ซึ่งได้จากการเดินทางท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ จนมีโอกาสได้พบร้านร้านหนึ่งที่ ซ่อนตัวอยู่ในแหล่งขายของแอนทีคในเมืองเล็ก ๆ แถบ โปรวองซ์ ชื่อ I’isle sur la sorgue ที่มีทั้ง Animal Taxidermy Butterfly Collection และของสะสมของเก่าต่าง ๆ ก็เลย เป็นที่มาให้เราเริ่มสะสมของจริงจังมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ขนนกหรือหินต่างๆ เพราะรู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นความสวยงามที่เกิดจากธรรมชาติโดยไม่มีการปรุงแต่ง และมีความลึกลับซ่อนอยู่ อีกทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นให้เราอยากสร้าง Cabinet of Curiosities ของตัวเองขึ้นมาด้วยประสบการณ์และการพบเจอสิ่งต่าง ๆ นํามาต่อยอดจนกลายเป็นผลงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะ การแต่งบ้าน และการใช้ชีวิต อย่างที่เห็นค่ะ”

เราปฏิเสธไม่ได้ว่าความประทับใจแรกที่มีต่อบ้านหลังนี้ คือความงามของเฟอร์นิเจอร์แอนทีคและของสะสมจากศตวรรษก่อน แต่เมื่อบทสนทนาระหว่างเจ้าของบ้านกับเราเริ่มต้นขึ้น เรากลับค้นพบว่าจริงๆแล้วสิ่งสําคัญที่ทําให้เรา ตกหลุมรักบ้านหลังนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น อาจเป็นเรื่องราว และความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในข้าวของที่เจ้าของบ้านมีความทรงจําร่วมด้วยก็เป็นได้

“เฟอร์นิเจอร์ในบ้านหลังนี้ไม่ใช่แค่เดินทางไปซื้อแล้วขนกลับ แต่สิ่งที่เราได้มากกว่านั้นคือความทรงจําที่ช่วยย้ำเตือนถึงสถานที่ ช่วงเวลา ความรู้สึก และผู้คนที่เราอยู่ด้วยตอนพบเจอ บางทีเฟิร์นว่าของบางชิ้นเราอาจไม่ได้เป็นคนเลือก แต่ของชิ้นนั้นอาจจะเป็นคนเลือกเราเองก็ได้”